
เปิดมุมมอง! ปริมาณไฟฟ้าสำรองเกินความจำเป็นจริงหรือ?
ทำไมเดือนนี้ค่าไฟแพงขึ้น ทั้งที่ใช้ไฟจำนวนหน่วยเท่าเดิม หรืออาจมาจากการปรับเรียกเก็บค่า Ft และค่าบริการอื่นๆ บ้างก็ว่าปริมาณไฟฟ้าสำรองเกินความจำเป็นหรือไม่ ทำให้ต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่าย (ค่า AP) เพราะไฟฟ้าผลิตมาแล้วใช้ไม่ใช้ก็ต้องจ่ายจริงหรือไม่จ่ายได้หรือไม่ ยังคงมีหลายมุมมองจากผู้ใช้ไฟที่ยังต้องการหาคำตอบ
จากประเด็นที่ว่าปริมาณสำรองไฟฟ้าล้นเชื่อมโยงกับค่าความพร้อมจ่าย (ค่า AP) อยากให้ลองมาฟังเหตุผลอีกด้านหนึ่งของนักวิชาการอิสระด้านพลังงานท่านหนึ่งที่ให้ความเห็นในประเด็นนี้โดยระบุว่า “หลักการคำนวณปริมาณไฟฟ้าสำรองต้องคำนวณจากไฟฟ้าที่พึ่งพาได้เท่านั้น ในวันนี้พลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทน มีข้อด้อยในเรื่องที่ว่าไม่สามารถพึ่งพาได้เต็มร้อย ดังนั้นที่กล่าวกันว่าปริมาณไฟฟ้าสำรองสูงถึง 50% ก็คงไม่ใช่ เพราะพลังงานหมุนเวียนนับรวมไม่ได้ ปริมาณสำรองก็น่าจะอยู่ในระดับ 30% ถามว่าสูงหรือไม่ ก็ถือสูงกว่ามาตรฐานสากลที่ไม่ควรเกินกว่า 10 - 15%”
สาเหตุที่ปริมาณไฟฟ้าสำรองเกินความจำเป็นไปมากก็ต้องย้อนกลับไปดูที่ต้นเหตุของการจัดทำประมาณการความต้องการการใช้ไฟฟ้าบนเงื่อนไขของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งก่อนเกิดเหตุสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ประมาณการไว้ที่เฉลี่ยปีละ 5% แต่ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 เศรษฐกิจไทยเองก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันกับทั่วโลก ส่งผลขยายตัวต่ำกว่าประมาณและเหลือเพียง 1-3% และแน่นอนว่าประมาณการเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าการขยายตัวที่แท้จริง ย่อมต้องนำมาซึ่งความคลาดเคลื่อนของการประมาณกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศที่ต้องล้นเกินความต้องการตามมาเป็นลูกโซ่ เพราะประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าอิงกับประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
และต้องไม่ลืมด้วยว่าข้อเท็จจริงในอีกมุมหนึ่งของโรงไฟฟ้า เพราะการที่จะสร้างโรงไฟฟ้า 1 โรง ซึ่งมีอายุใช้งานเฉลี่ยไม่น้อย 25 ปี ต้องใช้เวลาวางแผนและก่อสร้างล่วงหน้าถึง 5 ปี เมื่อการตัดสินใจลงทุนเป็นตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (แผน PDP) ที่วางแผนล่วงหน้า จะไประงับการลงทุนหรือการก่อสร้างทันทีทันใดย่อมทำไม่ได้ ในขณะที่สถาบันการเงิน หรือแหล่งทุนสนับสนุนโครงการโรงไฟฟ้าที่มีมูลค่าในระดับหลายพันล้านบาทเองก็ต้องมั่นใจว่าจะได้รับชำระหนี้เงินกู้คืน ถึงจะยอมปล่อยสินเชื่อจึงต้องมีระบบ “ค่าความพร้อมจ่าย” ซึ่งเป็นเหมือนการประกันรายได้เพื่อให้ผู้ลงทุนและแหล่งทุนมั่นใจร่วมลงทุนกับรัฐ
แหล่งข่าวจากสำนักงาน กกพ. ก็เคยอธิบายเรื่องค่าความพร้อมจ่ายให้สื่อมวลชนเข้าใจได้ง่ายๆ โดยเปรียบค่าความพร้อมจ่ายกับธุรกิจรถตู้เช่าเอกชน ที่ประชาชนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว โดยในการเช่ารถแต่ละครั้งจะคิดค่าบริการเป็นการเหมาจ่ายรายวัน ที่ไม่นับรวมค่าน้ำมันที่ต้องจ่ายตามจริงตามที่ใช้บริการไป ค่าเหมาจ่ายรายวันเหมือนกับ ค่า AP ที่ใช้หรือไม่ใช้รถก็ต้องจ่ายค่าเช่ารถเพื่อให้เรามีรถใช้ทันทียามฉุกเฉิน ส่วนค่าพลังงาน (EP) จะจ่ายก็ต่อเมื่อมีการใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านั้นๆ เช่นเดียวกับไม่ใช่รถเช่าก็ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมัน ดังนั้นหากเราเลี่ยงไม่จ่ายค่าเหมาจ่ายก็เท่ากับเราผิดสัญญาด้วย
ส่วนที่วิจารณ์กันมากจนทำให้สับสนว่า “ค่า AP จะใช้หรือไม่ใช้ไฟฟ้าก็ต้องจ่าย” นอกจากจะเป็นเหตุผลที่ต้องจ่ายเพราะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนและแหล่งทุนสนับสนุนโครงการแล้ว ก็ยังมีเหตุผลที่สำคัญไม่แพ้กัน คือเป็นหลักประกันว่าคนไทยและภาคธุรกิจจะได้ใช้ไฟฟ้าที่มีคุณภาพ ซึ่งหมายถึง ไฟไม่ตก ไฟไม่ดับกระจายเป็นวงกว้าง ซึ่งก็ต้องแลกกับค่าเอพีที่ต้องจ่ายออกไปในแต่ละยูนิตที่เพียง 70 สตางค์ต่อหน่วยจากค่าไฟปัจจุบันอยู่ที่หน่วยละ 3.98 บาทต่อหน่วยเท่านั้นเอง ในขณะที่ภาคเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตเองก็ไม่สามารถยอมรับได้หรือไม่กับปัญหาไฟตก ไฟดับในแต่ละครั้ง สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและกระบวนการผลิตมหาศาล
ด้วยเหตุผลนี้ การรักษาเสถียรภาพของไฟฟ้าภายในประเทศ และการสร้างสมดุลให้เกิดกับพี่น้องประชาชน รวมทั้งภาคเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม การกำกับดูแลไฟฟ้าจึงมีความจำเป็นอย่างมาก ทั้งด้านการผลักดันเรื่องการใช้พลังงานหมุนเวียนลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หรือรวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้งานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ช่วยตอบโจทย์ทางด้านภาคเศรษฐกิจ และเพื่อช่วงลดภาระค่าไฟในระยะยาวต่อค่าครองชีพประชาชนในภายภาคหน้า

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา