เครือซีพี และบริษัทในเครือ ตั้งศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า 5 จังหวัด เร่งช่วยน้ำท่วมภาคใต้ ผนึกกำลังภาคีเครือข่าย ร้อยเรียงความดีช่วยประชาชน ย้ำเจตนารมณ์ “คนไทยไม่ทิ้งกัน”
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 จากสถานการณ์ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของภาคใต้ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันครั้งใหญ่ ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ซึ่งปีนี้นับเป็นอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) นำโดย นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือฯ นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือฯ และ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือฯ ได้แสดงความห่วงใยต่อประชาชนผู้ประสบภัย พร้อมมอบหมายให้ทุกกลุ่มธุรกิจในเครือฯ ระดมกำลังช่วยเหลืออย่างเต็มที่ผ่าน ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า ใน 5 จังหวัด ได้แก่ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พัทลุง และสงขลา ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ ตั้งขึ้นเฉพาะกิจเพื่อสนับสนุนความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในครั้งนี้
นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า การช่วยเหลือครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของ 3 ประธานเครือซีพี ได้แก่ นายธนินท์ เจียรวนนท์, นายสุภกิต เจียรวนนท์ และ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ที่มุ่งเน้นการตอบแทนสังคมและสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างยั่งยืน พร้อมสอดคล้องกับ ค่านิยม 3 ประโยชน์ ที่ให้ความสำคัญกับประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประโยชน์ต่อประชาชน โดยมีนโยบายให้นำขีดความสามารถของบริษัทภายในเครือฯ เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ใน 5 จังหวัด อย่างเร่งด่วน ผ่านมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ เพื่อลดผลกระทบและบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด
“เครือซีพี และกลุ่มธุรกิจภายในเครือฯ ได้ระดมความช่วยเหลือ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารเป็นอันดับแรก มอบวัตถุดิบอาหารที่มีคุณภาพ สด สะอาด มีมาตรฐาน อาทิ ไข่ไก่สด วัตถุดิบอาหารสด ข้าวสารตราฉัตร และน้ำดื่ม นำไปกระจายให้โรงครัวต่างๆ เพื่อประกอบอาหารปรุงสุกแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมย้ำให้ทุกกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในพื้นที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตตลอด Supply Chain ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างทั่วถึงในช่วงเวลาภาวะวิกฤติ นอกจากนี้ ยังสนับสนุนด้านโทรคมนาคมการสื่อสาร แจ้งเหตุฉุกเฉินผ่านข้อความ SMS แจ้งเตือนอุทกภัยถึงมือถือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยโดยเจาะจงพื้นที่ระดับตำบลและหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบในภาคใต้ และสนับสนุนรถโมบายล์ชุมสายเคลื่อนที่เร็ว (COW) ดูแลระบบสัญญานสื่อสารให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายจอมกิตติ กล่าว
การช่วยเหลือครั้งนี้ เครือซีพีและบริษัทในเครือ เข้าช่วยเหลือครอบคลุม 5 จังหวัด ได้แก่ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พัทลุง และสงขลา ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานด้านสาธารณสุข และองค์กรจิตอาสา อาทิ กระทรวงมหาดไทยทั้ง 5 จังหวัด แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, กองทัพบก โดย มณฑลทหารบกที่ 42 ค่ายเสนาณรงค์, สำนักงานพัฒนาภาค 4 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หน่วยงานด้านสาธารณสุข โรงพยาบาล และหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่ และกลุ่มบริษัทในเครือซีพี อาทิ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CP AXTRA) ธุรกิจแม็คโคร และโลตัส (Makro – Lotus’s) และบมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) เพื่อบูรณาการความช่วยเหลือให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ที่ผ่านมา ได้สนับสนุนวัตถุดิบแก่โรงครัวต่าง ๆ กระจายในหลายพื้นที่ โดยมีเป้าหมายจำนวน 100 โรงครัว ผ่านโครงการ “CP-CPF ส่งอาหารจากใจ สู้ภัยน้ำท่วม” มอบไข่ไก่สด เนื้อไก่ น้ำมันพืช น้ำดื่ม และข้าวตราฉัตร ให้กับมณฑลทหารบกที่ 42 และค่ายเสนาณรงค์ เพื่อนำไปปรุงอาหารแจกจ่ายผู้ประสบภัย นอกจากนี้ยังมีการบูรณาการพนักงานจิตอาสา โดยซีพี แอ็กซ์ตร้า นำพนักงานจากแม็คโครและโลตัสลงพื้นที่ เช่น อำเภอเมืองและอำเภอจะนะ พร้อมมอบน้ำดื่มและถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัย ใน จ.สงขลา รวมถึงการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร โดยทรู คอร์ปอเรชั่น ส่งรถโมบายล์ชุมสายเคลื่อนที่เร็ว พร้อม Free WiFi และจุดชาร์จแบตเตอรี่ในพื้นที่ 10 โรงครัว นอกจากนี้ ยังมอบซิมอินเทอร์เน็ต 10 GB พร้อมค่าโทรฟรี 100 นาที ให้ผู้ประสบภัยครอบคลุมทั้ง 5 จังหวัด
นายจอมกิตติ กล่าวเสริมว่า “ทุกความช่วยเหลือในครั้งนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของเครือซีพีที่ต้องการสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้กับชุมชน ไม่เพียงแค่ในช่วงวิกฤติ แต่ยังช่วยวางรากฐานความยั่งยืนในระยะยาว เราจะเดินหน้าช่วยเหลือจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อให้ทุกคนก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกันอย่างเข้มแข็ง”
ทั้งนี้ เครือซีพี จะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมสนับสนุนทั้งทรัพยากรและบุคลากร เพื่อยืนหยัดช่วยเหลือประชาชนจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ปกติ