บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ประกาศเดินหน้าขยายเวลาโครงการให้เครดิตเทอม 30 วันถึงมิถุนายนปี 2565 ช่วยเสริมความแข็งแรงทางการเงินคู่ค้าธุรกิจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีควบคู่เพิ่มความรู้สร้างโอกาสเอสเอ็มอีเติบโตต่อเนื่องท่ามกลางความเสี่ยง หวังหนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทย
นางสาวธิดารัตน์ เดชายนต์บัญชา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านจัดซื้อพัสดุครุภัณฑ์ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าได้ประกาศการปฏิบัติทางการค้าที่เป็นธรรมเกี่ยวกับระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า 30-45 วัน ส่งผลดีกับธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยเติบโตอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ตระหนักถึงสภาวะเศรษฐกิจมีปัจจัยเสี่ยงมาก จากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังไม่ยุติ เป็นอุปสรรคการฟื้นตัวและการอยู่รอดของคู่ค้าธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในห่วงโซ่การผลิตอาหาร ประกอบกับผลการดำเนินโครงการฯ ในปีที่ผ่านมาคู่ค้าเอสเอ็มอีมีสถานะทางการเงินแข็งแรงขึ้นสามารถขยายธุรกิจหาตลาดใหม่เพื่อเพิ่มรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทฯ จึงเดินหน้าช่วยเหลือคู่ค้าเอสเอ็มอีต่อเนื่อง ทั้งการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน โดยประกาศต่อเวลาการดำเนินโครงการ Faster Payment โดยให้เครดิตเทอมภายใน 30 วันต่อไปอีกถึงมิถุนายน 2565 นี้ มุ่งช่วยคู่ค้าเอสเอ็มอี สามารถบริหารจัดการเงินในดำเนินดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง และหนุนเอสเอ็มอีสามารถปรับตัวตอบรับแนวโน้มต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง ควบคู่กับการถ่ายทอดองค์ความรู้ช่วยพัฒนาศักยภาพและสร้างโอกาสการเติบโตให้แก่คู่ค้าเอสเอ็มอี
"การขยายเวลาการให้เครดิตเทอมภายใน 30 วัน จะช่วยเอสเอ็มอีปลดล็อคปัญหาการขาดสภาพคล่อง ได้ มีเงินหมุนเวียนได้เร็วขึ้น สามารถบริหารจัดการเงินสดในการดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น ช่วยสร้างโอกาสในการลงทุนเพิ่ม ช่วยลดภาระดอกเบี้ยจากเงินกู้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังหนุนให้เอสเอ็มอีปรับตัวพัฒนาธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ตอบรับกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมพิจารณาต่อเวลาการดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก " นางสาวธิดารัตน์กล่าว
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ซีพีเอฟได้ดำเนินโครงการ Faster Payment ลดระยะเวลาการจ่ายค่าสินค้าและบริการ (เครดิตเทอม) ภายใน 30 วันให้แก่ธุรกิจคู่ค้าที่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ตั้งแต่ตุลาคม 2563 ต่อเนื่องเป็นเวลาร่วม 2 ปี เพื่อช่วยรักษาสภาพคล่องทางการเงิน และลดภาระหนี้จากการกู้เพิ่มเติมของคู่ค้าเอสเอ็มอีของซีพีเอฟประมาณ 6 พันราย ส่งผลให้สามารถรักษากิจการให้อยู่รอด และมีกำลังรักษาการจ้างงานได้ต่อเนื่อง ช่วยฝ่าสถานการณ์ที่ยากลำบากไปด้วยกัน
นอกจากการช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้ธุรกิจคู่ค้าเอสเอ็มอี ในปีนี้ ซีพีเอฟยังเดินหน้าสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนให้คู่ค้าเอสเอ็มอี ด้วยการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในห่วงโซ่อุปทานอาหารให้ดำเนินธรุกิจต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก สร้างโอกาสการเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน