อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ไม่เห็นด้วย รมว.ศึกษา จัดติวเตอร์อบรมครูทั่วประเทศ ชี้สะท้อนวิธีคิดล้าหลัง ขาดความเข้าใจการศึกษา พร้อมเสนอแนะ 3 ข้อ รับมือเปิดเทอม
.....................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2564 ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Athapol Anuntiavorasakul ถึง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ระบุว่า จากโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ และเห็นกำหนดการในโปรแกรมอบรมครูทั่วประเทศที่ส่งต่อกันในไลน์อย่างกว้างขวางแล้ว เกิดข้อสงสัยอย่างยิ่งเกี่ยวกับคัดเลือกวิทยากรโดยระดมครูจากสถาบันกวดวิชา และเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจากสถาบันเอกชนที่ขายคอร์สพัฒนาครูเป็นหลัก มาอบรมครูในระบบนี่เท่าที่ผมศึกษาดูจากนโยบายพัฒนาครูในหลายประเทศ ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ยังไม่พบว่ามีประเทศใดในโลกดำเนินการด้วยแนวทางนี้
ธรรมชาติของงานที่ติวเตอร์ทำกับครูเต็มเวลาใน รร.ทำ ต่างกันมาก การดึงพวกเขามาไม่ใช่ความผิดพวกเขาเลย แต่มันสะท้อนว่าพวกท่านที่กำหนดนโยบายนี่ยังขาดความข้าใจเรื่องการศึกษา ไม่ได้กำหนดนโยบายบนฐานปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมอันเป็นหัวใจของการศึกษากระแสหลักทั่วโลกรวมทั้ง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับปัจจุบัน ยังติดอยู่ในโลกของการศึกษา 100 ปีที่แล้ว ที่คิดว่าต้องหาวิธีถ่ายทอด อธิบาย วิเคราะห์ให้ฟัง มองงานสอนเป็นงานเชิงเทคนิควิธีการมากกว่าการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน
ความรู้ว่าด้วยการพัฒนาครูประจำการ (In-service Teacher Development) ในระดับนานาชาติ.เน้นการสร้างความแข็งแกร่งชองชุมชนเรียนรู้ของครู (TLC : Teacher Learning Community) ใช้การสืบสอบ (Inquiry) การวิจัยชั้นเรียน (ClassroomResearch) การศึกษาบทเรียน (Lesson Study) ทำให้ครูเป็นนักปฏิบัติที่ชำนาญขึ้นจากการไตร่ตรองสะท้อนคิด (Reflective Practitioner) และทำให้โรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC: School as Leaning Community) ที่มีชีวิตชีวาสำหรับทุกคน การอบรมแบบฟังอย่างเดียวให้ได้ Input แบบนี้หลายประเทศยกเลิกไปนานแล้ว ใช้เฉพาะวาระรับฟังนโยบายบางอย่างที่สำคัญมาก ๆ หรือเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องระดับนานาชาติมาคุย
จากรายชื่อวิทยากรที่มี ตนเชื่อว่าสำหรับครูไทยที่เก่งๆ ใฝ่รู้ รักดี ก้าวข้ามกำแพงภาษาพอได้ เห็นเข้าคงส่ายหัว พวกเขาหาฟังประชุมออนไลน์นานาชาติที่มีวิทยากรดัง ๆ ระดับเอเซีย–แปซิฟิค ระดับโลก ได้ด้วย Free Webinar หรือเรียนผ่าน Mooc และ Coursera ได้มากมาย ทั้งในและต่างประเทศ มาสักพักใหญ่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นครูเก่ง ๆ ของหลายคนเป็นวิทยากรอบรมระดับประเทศกันหลายคน พวกเขามาทำหน้าที่นี้ยังจะสื่อสาร สร้างแรงบันดาลใจ พูดภาษาเดียวกับเพื่อนครูได้มากกว่า
ในอีกมุมหนึ่ง ปรากฎการณ์สะท้อนเรื่องใหญ่ที่สำคัญในการพัฒนาครู นั่นคือการขาดการเชื่อมต่อยึดโยง (Alignment) กับสถาบันเตรียมครูอย่างคณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ เป็นปัญหาทั้ง 2 ฝั่ง กล่าวคือ ศธ.ก็มองไม่เห็นคุณค่า ไม่ศรัทธาเชื่อมั่น มองไม่เห็นทั้งความพร้อมที่มีอยู่ (Availability) และการเปิดให้สาธารณะเข้าถึงได้ (Accessibility) จากสถาบันครุศึกษา ในระดับสถาบันนะครับ ไม่ใช่การเชื้อเชิญเจาะจงตัวเป็นราย ๆ ไป และอีกมุมหนึ่ง สถาบันครุศึกษาเหล่านี้ก็ทำตัวห่างเหิน ไม่แสดงภาวะผู้นำทางการศึกษา ไม่กระตือรือร้นมากพอที่จะร่วมรับผิดรับชอบกับสถานการณ์ปัญหาทางการศึกษา ลอยตัวจากความล้มเหลวของระบบ มาอย่างยืดเยื้อเรื้อรังยาวนาน พูดภาษาชาวบ้าน คือ เขามองไม่้เห็นหัวพวกท่าน เพราะพวกท่านไม่เคยอยู่ให้เห็นหัว
พอจะเห็นบางคน บางกลุ่ม ในบางสถาบัน ที่พยายามจัดกิจกรรม โปรแกรมพัฒนาครูอยู่พอสมควร แต่ก็เป็นการดิ้นรนพยายามด้วยความมีแก่ใจจะร่วมรับผิดชอบระดับบุคคลและกลุ่ม โดยขาดแรงส่งจากกลไกเชิงสถาบันที่เป็นกลุ่มเป็นก้อน ทั้งนี้ยังมีสภาคณบดีครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ฯ และที่ประชุมคณบดีครุศาสตร์ฯ กลุ่ม 16+1 และกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏอีก
แม้ ศธ.จะไม่ได้มีอำนาจโดยตรงในการสั่งการ และรีบูตบทบาทหน้าที่ให้คณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ แต่เป็นหลักการพื้นฐานที่ ศธ.หรือ MOE ทั่วโลก ต้องทำ คือ ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับสถาบันเตรียมครูพัฒนาครู อย่างคณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ ถ้าพวกเขามองไม่เห็นบทบาทหน้าที่นี้ ท่านก็ต้องหารือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้จัดแพลตฟอร์มหารือกัน เปรียบเทียบโดยง่าย กำลังเจอโจทย์ยากทางการแพทย์ เช่น โรคระบาด ไม่มีประเทศเขากะเกณฑ์หมอ พยาบาล มานั่งฟังบรรยายนักเทคนิคการแพทย์ หรือตัวแทนจำหน่ายยา อธิบายแนะนำ 'เครื่องมือ' แต่เขาจะสนับสนุนให้ระบบผู้ให้คำปรึกษา (Consultation )ระหว่างหมอและพยาบาลด้วยกันเข้มแข็ง ข้อมูลจากงานวิจัยและข้อมูลที่อัพเดตที่สุด
ทั้งนี้ ตนหาได้กล่าวโทษ หรือดูแคลนวิทยากรทุกท่านในรายชื่อ พวกเขาแค่ถูกเชิญ และเป็นการเลือกกำหนดโจทย์ที่ผิดจากผู้กำหนดนโยบาย ตนเข้าใจว่า ท่าน รมว.ในฐานะผู้มาใหม่ของวงการย่อมถูกห้อมล้อม และมีคนพยายามขอเข้าพบจำนวนมากจากสารพัดบริษัทเอกชนที่ประกอบธุรกิจการศึกษา และ น่าสนใจว่า การเปลี่ยนรัฐมนตรีมาไม่รู้กี่คน แต่ปัญหาเหล่านี้ยังคงอยู่เครือข่ายระหว่างเทคโนแครต ข้าราชการระดับสูง และหน่วนธุรกิจเหล่านี้ น่าจะแข็งแกร่งเป็นกำแพงเหล็กที่ท่านคงต้องพยายามหาทางเจาะช่องรับฟังสื่อสารกับครูที่เป็นคนทำงานที่หน้างานให้มากขึ้น ฟังเสียงครู เสียงเด็ก ๆ ที่เป็นผู้เรียนให้มากที่สุด ทำความเข้าใจกลไกเชิงระบบ จัดทีมศึกษาข้อมูลแนวปฏิบัติที่ดีจากต่างประเทศ แล้วกำหนดแผนการทำงานที่เป็นประโยชน์ บนหลักวิชา ความรู้ และงานวิจัย
ทั้งนี้ ผศ.อรรถพล ได้ระบุข้อเสนอ 3 ข้อสำหรับช่วงเลื่อนเปิดเทอม 11 วัน
1. สนับสนุนให้ทุก รร.มีการจัดการประชุมออนไลน์ถอดบทเรียนการทำงานในรอบปีที่ผ่านมา ครูทุกคนได้มีประสบการณ์ตรงและลงมือแก้ปัญหามาหมดแล้ว ทั้ง Online (เลื่อมเวลา/ประสานเวลา) - On Air – On Screen – On Hand – On Site รวมทั้งแบบผสม (Hybrid) ไม่มีติวเตอร์หรือนักวิชาการเจอบริบทการสอนการทำงานแบบเดียวกับคุณครูในช่วง พ.ค.-ก.ค.63 และ ธ.ค.63 -ม.ค.64 ที่ต้องจัดกิจกรรมการเรียนทั้ง 5 ช่องทางนี้ผสมกัน คุณครูเท่านั้นที่เคยล้มเหลว เรียนรู้ หลายคนปรับตัว จนเกิดแนวปฏิบัติที่ดี สามารถแลกเปลี่ยน ให้คำแนะนำเพื่อนครูร่วม รร.ได้
การรับมือสถานการณ์นี้ เราเรียนรู้จากประสบการณ์ของเพื่อนครู รร.อื่น ผู้สอนในบริบทอื่นได้ แต่เรื่องสำคัญ คือการแลกเปลี่ยนกันเองกับครูที่ดูแลนักเรียนในบริบทเดียวกัน วิธีที่ใช้ได้กับ รร.ขนาดกลางระดับชุมชนเมือง ไม่อาจใช้ได้กับ รร.ในพื้นที้ห่างไกล หรือกระทั่ง รร.ใหญ่ในเมือง และต่อให้ขนาดใกล้เคียงกัน รร.ในบริบทเด็กหลากชาติพันธุ์ เด็กในบริบทวัฒนธรรมเฉพาะ และเด็กที่มีพท้นเพสถานะ ความพร้อมสนับสนุนของครอบครัวก็ไม่อาจเหมือนกัน ให้เวลาคุณครูได้คุยหารือ ได้พัก ได้เตรียมตัวสอนเถิดครับ ดีกว่าบังคับให้เปิดหน้าจอเช็คชื่ออบรมออนไลน์กับใครก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้เข้าใจปัญหาเฉพาะหน้าที่ครูกำลังต้องเผชิญ แล้วก็ต้องแอบปิดกล้องนั่งประชุมเตรียมสอนกันไป และฝากโจทย์ให้คุณครูขบคิดวิธีการทำความรู้จักสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับ นร. ในการสอนทางไกลตั้งแต่สัปดาห์แรกของเทอม
2.ให้เด็ก ๆ ได้พัก ได้เล่นสนุกตามใจบ้างเถิดครับในช่วง 11 วันที่เลื่อนเปิดเทอม เด็ก ๆ ล้ามาเต็มทีกับการเรียนปนไปปนมาระหว่างออนไลร์/ออฟไลน์ หลายคนเครียด เบื่อ เหนื่อยล้า หมดแรงจูงใยไปแล้ว รวมทั้งอีกไม่น้อยที่ซึมชับรับรู้ความเครียดทางเศรษฐกิจ และความหวั่นกลัวการติดเชื้อร่วมกับผู้ใหญ่ ให้เขาได้เล่น ได้มีเวลาว่างสั้นสัก 11 วัน ถ้าท่านเกรงว่าจะสูญเปล่า แนะนำว่าให้ รร.ประสานงานกับเด็กล่วงหน้าว่าไม่มีงาน ไม่มีการบ้าน ให้เล่นเต็มที่ แต่ฝากให้เขียนหรือวาดอะไรสั้น ๆ เตรียมมาเล่าให้เพื่อนและครูฟังในวันแรกที่ได้เปิดเทอมว่า '11 วันที่ได้มีเวลาว่าง ฉันทำอะไร'
3.หารือด่วนกับ อว. และเครือข่ายสถาบันครุศึกษา เชิญชวนผู้นำองค์กรของกลุ่มมหาวิทยาลัยทึ่มีคณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ หารือ ร่วมกันแบ่งพื้นที่ดูแลสนับสนุนงานคุณครูในช่วงภาคการศึกษาต้น ไม่มีงบประมาณก็น่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ทุกสถาบันภายใต้มหาวิทาลัยถูกกำกับด้วยตัวชี้วัดต้องให้บีิการวิชาการอยู่แล้ว ทำเป็นออนไลน์แพลตฟอร์ม ให้เรียนรู้สนับสนุนยึดโยงกันระหว่างโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เริ่มจากมหาวิทยาลัยไหนที่ส่งนิสิตนักศึกษาลงฝึกสอน ต้องร่วมสนับสนุนงาน รร.นั้น และ รร.ใดทึ่ไม่ใช่พื้นที่ฝึกงานของนิสิตนักศึกษา ก็ควรจัดโซนพื้นที่ ระดมพลังช่วยสนับสนุนกัน
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage