สภาองค์กรของผู้บริโภค ออกแถลงการณ์เสนอนายกรัฐมนตรี สนับสนุนองค์การเภสัชกรรมผลิตยาฟาวิพิราเวียร์อย่างเป็นทางการ เพื่อป้องกันการขาดแคลนในช่วงโควิด และลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ พร้อมให้เชิญผู้แทนผู้บริโภค ร่วมให้ข้อคิดเห็นในการหารือกับ กกร. 3 สถาบัน เพื่อให้การกระจายวัคซีนเป็นไปอย่างรอบด้านและเป็นธรรม
.............................................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 เม.ย.2564 ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ในประเทศไทยขณะนี้ ทำให้มีผู้ติดเชื้อรายวันเกินหนึ่งพันคนติดต่อกันมามากกว่า 1 สัปดาห์ รวมถึงยังมีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และยังไม่มีแนวโน้มที่ลดลงนั้น สภาองค์กรของผู้บริโภค จึงเสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และ รัฐมนตรีทั้ง 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประกาศนโยบายสนับสนุนองค์การเภสัชกรรมเดินหน้าผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) อย่างเป็นทางการ เพื่อป้องกันการขาดแคลนและลดการนำเข้ายาดังกล่าวจากต่างประเทศ ดังที่เกิดขึ้นในช่วง 1 - 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวให้เหตุผลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแถลงการณ์ให้รัฐบาลสนับสนุนองค์การเภสัชกรรมผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) เป็นยาสำคัญในการรักษาโควิด โดยเฉพาะในคนไข้ที่เริ่มมีสัญญาณของปอดอักเสบ ซึ่งยาดังกล่าวไม่เคยมีคำขอสิทธิบัตรโครงสร้างหลักของยาที่ยื่นในประเทศไทย แต่มีสิทธิบัตรในต่างประเทศ และสิทธิบัตรหมดอายุไปตั้งแต่ปี 2562 เป็นเหตุผลที่ทำให้จีนสามารถผลิตยาชื่อสามัญได้
ขณะเดียวกันในประเทศไทยกลับมีคำขอเลขที่ 1101001988 ของบริษัทฟูจิฟิล์ม ที่ขอรับสิทธิบัตรเรื่องสูตรเม็ดยาแบนและผงกรานูเลทต์ ซึ่งเป็นเพียงการตอกอัดเม็ดให้ขนาดเล็กเพื่อสะดวกแก่การกินเท่านั้น อีกทั้งยังเขียนคำขอสิทธิบัตรไว้อย่างกว้างและครอบคลุมไปหมดเพื่อกีดกันไม่ให้ผู้อื่นผลิตได้ ถือเป็นลักษณะของคำขอสิทธิบัตรแบบ Evergreening หรือสิทธิบัตรยาที่ไม่มีวันหมดอายุ ซึ่งไม่ควรได้รับสิทธิบัตร เนื่องจากไม่มีความใหม่และไม่มีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น
ปัจจุบัน กรมควบคุมโรคสั่งซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ เม็ดละ 125 บาท ผู้ป่วยโควิดหนึ่งรายต้องใช้ยานี้เป็นจำนวน 40 ถึง 70 เม็ด ขึ้นอยู่กับสภาพความรุนแรงของอาการ แต่ยาฟาวิพิราเวียร์ที่องค์การเภสัชกรรมจะผลิตนี้ จะมีราคาถูกเกินกว่าครึ่งหนึ่ง จากราคา 5,000 - 8,750 บาทต่อราย จะลดลงเหลือน้อยกว่า 2,500 - 4,375 บาทต่อราย
นอกจากนี้ ในส่วนของภาคประชาสังคมและนักวิชาการ ได้แจ้งต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค. 2563 และเข้าพบอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา อีกครั้งในวันที่ 26 ม.ค.2564 เพื่อให้เร่งพิจารณายกเลิกคำขอสิทธิบัตรดังกล่าว แต่จนถึงขณะนี้กรมทรัพย์สินทางปัญญา ยังอนุญาตให้ผู้ขอรับสิทธิบัตรแก้ไขเอกสาร เท่ากับยืดระยะเวลาออกไปและขัดขวางการผลิตยาของภาคส่วนอื่น ๆ ในขณะที่องค์การเภสัชกรรมมีศักยภาพในการผลิตยาดังกล่าวได้ อีกทั้ง นักวิจัยของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ยังสามารถพัฒนากระบวนการสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมของประเทศ หรือ API (Active Pharmaceutical Ingredients) สำหรับใช้เป็นสารตั้งต้นผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้แล้ว
ดังนั้น สภาองค์กรของผู้บริโภคและทีมนักวิชาการพร้อมจะให้การสนับสนุนนโยบายอย่างเต็มที่ รวมทั้งมีความพร้อมที่จะสนับสนุนด้านกฎหมายไทยและต่างประเทศเพื่อยืนยันความชอบธรรมของการประกาศนโยบายเพื่อแก้ปัญหาสาธารณสุขครั้งนี้
นอกจากนี้ ในวันที่ 28 เม.ย.2564 เรื่องการบริหารและกระจายและนำเข้าวัคซีนป้องกันโควิด ที่จะมีการจัดหารือเพิ่มเติมร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) 3 สถาบัน ขอให้นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการมีผู้แทนของผู้บริโภคร่วมให้ข้อคิดเห็น โดยการเชิญประธานสภาองค์กรของผู้บริโภคหรือผู้แทนเข้าร่วม เพื่อให้การหารือเป็นไปอย่างรอบคอบรอบด้านและคำนึงถึงความเป็นธรรมในการกระจายวัคซีน
ภาพจาก: สยามรัฐ
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/