
สภาผู้บริโภคเรียกร้องกทม.ชะลอขึ้นค่าโดยสารส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว ชี้ประชาชนทุกข์ระทม ไม่สอดคล้องแผนพัฒนาเมือง เน้นระบบรถไฟฟ้าแต่คนเข้าไม่ถึง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2568 สภาผู้บริโภค เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ กรณีวันที่ 1 พ.ย. 2568 กรุงเทพมหานคร (กทม.) เตรียมปรับค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ทั้ง 3 ช่วง ได้แก่ หมอชิต - คูคต บางจาก - สมุทรปราการ และโพธิ์นิมตร - บางหว้า รวม 36 สถานี ระยะทาง 44 กิโลเมตร ในอัตรา 17 - 45 บาท รวมไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย แม้รัฐบาลจะนำโครงการคนละครึ่งพลัสมาใช้กับบริการรถไฟฟ้า แต่ประชาชนยังได้รับผลกระทบอย่างหนัก สภาผู้บริโภคยืนยันต้องหยุดขึ้นราคาสายสีเขียว ไม่ผลักภาระให้ผู้บริโภค
@ แก้ปัญหาหนี้ แต่สร้างภาระประชาชน
การประกาศปรับขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยอ้างเรื่องภาระค่าใช้จ่ายและการชำระหนี้ให้กับบริษัท บีทีเอสซี รวมกว่า 32,000 ล้านบาท ได้จุดกระแสวิพากษ์จากหลายฝ่าย โดยเฉพาะภาคประชาชน และสภาผู้บริโภค ที่เห็นว่าแนวคิดดังกล่าวเป็นการ “ผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค” ทั้งที่รัฐบาลและ กทม. ควรมีบทบาทหลักในการอุดหนุนและบริหารต้นทุนของระบบขนส่งสาธารณะหลักของเมือง ตามแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ที่ระบุให้ “รถไฟฟ้า เป็นระบบขนส่งมวลชนหลัก ที่ต้องเข้าถึงได้ในราคาที่เป็นธรรม” และประชาชนต้องได้ประโยชน์สูงสุด
แต้ว ประชาชนผู้พักอาศัยย่านสะพานใหม่ กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะใช้โครงการคนละครึ่งพลัสกับบริการรถไฟฟ้า แต่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางยังคงสูงมาก สำหรับผู้ที่พักอาศัยย่านชานเมือง ซึ่งทุกวันนี้แม้ค่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายจะอยู่ที่ 15 บาท แต่เมื่อเชื่อมต่อกับสายสีเขียวหลัก และต้องใช้รถจักรยานยนต์ในการเดินทางเข้าหมู่บ้าน ค่าเดินทางอยู่ที่ 200 บาทต่อวัน หากใช้คนละครึ่งพลัสได้ แม้ค่าเดินทางจะลดลงเหลืออยู่ประมาณ 100 บาทต่อวัน ถือว่ายังสูงอยู่ดี เมื่อรวมกับค่ากิน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
“ทุกวันนี้ค่าครองชีพในการใช้ชีวิตใน กทม. สูงมากอยู่แล้ว ทั้งค่าเดินทาง ค่ากินในแต่ละวัน หาก กทม. ปรับขึ้นราคาสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ถือว่ากระทบอย่างมาก แม้จะมีโครงการคนละครึ่งมาช่วย แต่ค่าเดินทางยังสูงอยู่ดี ไม่อยากให้ กทม. ขึ้นราคา เพราะเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน” แต้วกล่าว
@ รายได้เพิ่มอีก 3,000 ล้านคุ้มหรือไม่
วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กทม. เก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยาย 15 บาทตลอดสาย ซึ่งไม่สอดคล้องกับต้นทุนค่าจ้างเดินรถและค่าบำรุงรักษา ทำให้ กทม. ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายและใช้งบประมาณสนับสนุนเพื่อชดเชยส่วนต่างปีละกว่า 6,000 ล้านบาท โดยต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ประมาณปีละ 9,000 ล้านบาท แต่เก็บรายได้จากการเดินรถส่วนต่อขยายอยู่ที่ประมาณปีละ 2,400 ล้านบาท การปรับราคาครั้งนี้คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณางบประมาณปี 2569 ของ กทม. ที่เพิ่งผ่านสภา กทม. เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา มีวงเงินรวม 92,700 ล้านบาท โดยการจัดสรรงบประมาณของ กทม. งบสูงสุด คืองบกลาง จำนวนประมาณ 17,000 ล้านบาท รองลงมา คืองบของสำนักการโยธา ประมาณหนึ่งหมื่นล้านบาท ซึ่งเห็นได้ว่างบประมาณจำนวนมากถูกใช้ไปกับการลงทุนก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานทางถนนและโครงการเชิงกายภาพ มากกว่าการอุดหนุนระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้ในราคาที่เหมาะสม
ปัจจุบัน รถไฟฟ้าสายสีเขียว มีอัตราค่าโดยสารอยู่ระหว่าง 17 - 62 บาทต่อเที่ยว และมีผู้โดยสารเฉลี่ยกว่า 5 แสนคนต่อวัน หากรวมค่าโดยสารสายอื่น การเดินทางต่อวันของผู้ใช้รถไฟฟ้าทำให้คนกรุงต้องจ่ายเฉลี่ย 60 - 100 บาทต่อวัน หรือเกือบ 3,000 บาทต่อเดือน ซึ่งคิดเป็น 15 - 20% ของรายได้ขั้นต่ำของแรงงานในกรุงเทพฯ ขณะที่องค์การสหประชาชาติกำหนดค่าเดินทางที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 10% ของรายได้
ทั้งนี้ ข้อเสนอของสภาผู้บริโภค คือให้ กทม. ชะลอหรือยกเลิกการขึ้นราคาค่าโดยสารส่วนต่อขยายทันที เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำเติมภาระค่าครองชีพของประชาชน ขอให้รัฐบาลจัดสรรงบกลางสนับสนุนการดำเนินการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของ กทม. ในฐานะที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะสำคัญ เช่นเดียวกับการอุดหนุนระบบรถเมล์ ขสมก. หรือรถไฟชานเมือง และให้ กทม. วางแผนบูรณาการรายได้และการบริหารหนี้อย่างโปร่งใส เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องรับภาระแทนรัฐบาลและเอกชน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา