
ศาลฯอนุมัติออกหมายจับ ‘สมหวัง บำรุงกิจ’ ชาวกัมพูชา จ้างวาน ‘จ่าเอ็ม’ ยิง‘อดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา’ พบ 2 ปีเข้า-ออกไทยนับ 100 ครั้ง ปม‘ขัดแย้ง’ยังไม่ชัดเจน
.......................................
จากกรณีนายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือ ‘จ่าเอ็ม’ ก่อเหตุยิงนายลิม กิม ยา อดีต สส.กัมพูชา เสียชีวิต และข้อมูลการสืบสวนมีรายงานว่า ศาลอาญาได้ออกหมายจับนายลี รัตนรัศมี (Ratanakraksmey Ly ) หรือชื่อในประเทศไทย คือ นายสมหวัง บำรุงกิจ อายุ 43 ปี ชาวกัมพูชา นั้น
เมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยความคืบหน้าในคดีนี้ว่า สำหรับผู้ร่วมกระทำความผิดเพิ่มเติมนอกจากนายชาคิส บัวปลี ซึ่งเป็นคนขับรถพานายเอกลักษณ์หลบหนี และได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น เมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา ทางพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ได้รับความเมตตาจากศาลอาญา ออกหมายจับ นายลี รัตนรัศมี หรือชื่อไทย คือ นายสมหวัง บำรุงกิจ อายุ 43 ปี ชาวกัมพูชา ในข้อหา “เป็นผู้ใช้จ้างวานให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร , ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดซึ่งใช่เหตุในเมือง”
สำหรับพฤติการณ์ที่พอจะกล่าวได้ คือ นายสมหวัง เป็นผู้สั่งการและผู้จ้างวาน โดยมีหลักฐานการสั่งการและหลักฐานการโอนเงินค่าจ้างวานมาถึงผู้ต้องหา ส่วนประเด็นเป็นเรื่องส่วนตัวหรือธุรกิจนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้ตัวนายสมหวังเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย จึงยังไม่สามารถยืนยันได้ แต่จากการประมวลผลได้นายเอกลักษณ์ ซึ่งในช่วงหลังเริ่มให้การเป็นประโยชน์มากขึ้นว่า นายสมหวัง มีสาเหตุโกรธแค้นกับคนตายดังกล่าวเรื่องส่วนตัว จึงขอให้นายเอกลักษณ์จัดการให้
ส่วนเรื่องขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไรนั้น จากการเข้าไปสอบปากคำเพิ่มยืนยันว่า นายเอกลักษณ์ ไม่ได้ให้การเพิ่มเติม และพูดเพียงเท่านี้ ส่วนเป็นความขัดแย้งจากการที่นายสมหวังเป็นนักการเมืองหรือไม่ นายเอกลักษณ์ ไม่ทราบกรณีดีงกล่าวเลย และไม่ทราบว่าผู้ตายมีภูมิหลังอย่างไร รู้เพียงแค่ตำหนิรูปพรรณ ใส่กางเกงสามส่วนเสื้อสีขาว โดยคนชี้เป้าแจ้งมา นั่งอยู่หน้ารถสะพายเป้ มาถึงตามรูปที่ส่งมาเจอก็ยิงทันที จากการสอบสวนนายเอ็มรับคนเดียว ทางพนักงานสอบสวนไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร คนเดียวแต่มีความกังวลว่า เอาปืนไปฝากน้องคนโน่นจะเดือดร้อนไหม
เมื่อถามว่า ที่ยิงในประเทศไทยจะกลายเป็นเรื่องขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่นั้น พล.ต.ต.อัฏธพร กล่าวว่า เรายังไม่ทราบ เพราะยังไม่ได้สมหวังมา
เมื่อถามว่า มีการจ้างวานจำนวนเงิน 60,000 บาท นั้น พล.ต.ต.อัฏธพร กล่าวว่า เป็นเรื่องที่อยู่ในสำนวนมีหลักฐานเสนอต่อศาลอาญาออกหมายจับให้ จากการตรวจสอบหลักฐานล่าสุด นายสมหวัง เข้าประเทศมาตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา เวลา 22.00 น.เศษ อยู่ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เหตุเกิดวันที่ 7 ม.ค.2568 และเดินทางออกนอกประเทศไปในเช้าวันที่ 8 ม.ค.2568 ออกไปประเทศเพื่อนบ้านช่องทางปกติ แต่มีการเข้าออกในประเทศใน 2 ปีกว่า 100 ครั้ง อยู่ระหว่างประสานหมายแดงกับทางกองการต่างประเทศ โดยคดีนี้เป็นการสั่งการในประเทศไทย
เมื่อถามต่อว่า ได้มีการตรวจสอบโทรศัพท์ผู้ต้องหาแล้วเป็นอย่างไรนั้น พล.ต.ต.อัฏธพร กล่าวว่า ตำรวจได้ดำเนินการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว โดยได้ประชุมร่วมกับชุดสืบสวนทุกวันในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา หลังไม่ได้ข้อมูลจากนายเอกลักษณ์เพิ่ม ตำรวจจึงต้องแกะข้อมูลวิเคราะห์จากโทรศัพท์มือถือนายเอกลักษณ์ แล้วกลับไปถามนายเอกลักษณ์เพื่อยืนยันอีกครั้ง เมื่อหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ชัด นายเอกลักษณ์จึงรับสารภาพ
ฉะนั้น พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับนายสมหวังนั้น เป็นพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ล้วนๆ และมีรายละเอียดการโทรศัพท์ระหว่างนายสมหวังและนายเอกลักษณ์ หลังเสร็จงานแล้ว อยู่สำนวนด้วย

เมื่อถามว่า มีโอกาสได้ตัวนายสมหวังและคนชี้เป้านั้มากน้อยแค่ไหน พล.ต.ต.อัฏธพร กล่าวว่า ทางผู้บังคับบัญชาทำเรื่องขอความร่วมมือไป ขอเป็นหมายจับสีแดง ขณะนี้กระบวนการอยู่ระหว่างรออนุมัติอยู่ ถ้ามีการประสานรับตัวผู้ต้องหาอย่างไรนั้นจะแจ้งให้ทราบต่อไป ทาง ผบช.น. ได้ให้นำเรียนว่าดำเนินการครบทุกขั้นตอนแล้ว กระบวนการขอหมายก็ส่งไปที่กองการต่างประเทศเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว
“ตอนนี้เนื้อสำนวน มีการยิงกันในเขตพื้นที่ สน.ชนะสงคราม คนยิงรับสารภาพว่า คนนี้จ้างวาน หลักฐานก็ไปถึงเบื้องต้นเราได้แค่นี้ ตอนแรกที่เรายังไม่ได้ตัวนายเอกลักษณ์ เราก็วิเคราะห์ข้อมูลจากสื่อต่างๆ ต้องขอบคุณสื่อที่ให้ข้อมูลชื่อสมหวัง สื่อเป็นคนมาบอกตนเอง ทำให้เราไปหาข้อมูลเพิ่มเติม พอได้ข้อมูลเท่านี้พยานหลักฐานก็ดำเนินการตามที่ได้มา แต่ในทางสืบสวนกองสืบนครบาลยังคงสืบสวนอยู่
ทั้งนี้ ในเวลานี้มีผู้ต้องหา 4 ราย แต่ต้องดูว่ากระบวนการพานายเอกลักษณ์หลบหนี หรือจัดหารถจัดหาปืนมีผู้เกี่ยวข้องอีกหรือไม่ ในชั้นนี้ยังไม่พบใคร แต่เราได้สอบพยานไว้หมดแล้วไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรถ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างๆ แต่ใครมีพฤติการณ์เข้าข่าย เช่น นายชาคริต พนักงานสอบสวนก็ต้องดำเนินการขออนุมัติหมายจับ ส่วนแท็กซี่ไม่เกี่ยวข้องก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเขาด้วยที่ถูกพาดพิง” พล.ต.ต.อัฏธพร กล่าว
ส่วนประเด็นที่ว่านายสมหวังเป็นนักการเมืองหรือไม่ พล.ต.ต.อัฏธพร ย้ำว่า ยังไม่ทราบ ทราบแต่ว่าใช้ชื่อว่า ลี เท่านั้น ตามพาสปอร์ต ส่วนชื่อเรียกนายสมหวัง เป็นชื่อใช้ตอนอยู่เมืองไทย และไม่มีชื่อปรากฎอยู่ในทะเบียนราษฎร์ โดยคนที่อาศัยอยู่แถวพัทยา จ.ชลบุรี เรียกเขาเป็นนั้น โดยไม่ทีท่าว่าทำธุรกิจอะไร แต่เชื่อว่าต้องเข้าทำอะไรสักอย่างจึงใช้ชื่อดังกล่าว ทำให้นายเอกลักษณ์เข้าใจว่าชื่อสมหวัง โดยในช่วงที่นายเอกลักษณ์เดือดร้อนถูกจะออกราชการ จากการกระทำความผิดทางวินัยนั้น นายสมหวังเข้ามาให้ความช่วยเหลือเงินทอง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา