กสม.ชื่นชมรัฐบาลแก้ปัญหาบุคคลไร้รัฐ ชี้มติ ครม.29 ต.ค.67 เห็นชอบหลักเกณฑ์แก้ปัญหาสัญชาติตามข้อเสนอ สมช.จะช่วยพิจารณาคำขอสถานะเป็นบุคลตามกฎหมายได้รวดเร็วขึ้นจาก 270 วันเหลือ 5 วัน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 8 พ.ย.สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ออกเอกสารข่าวแจกชื่นชมการปฏิบัติงานของรัฐบาลกรณีแก้ปัญหาบุคคลไร้รัฐ เนื้อหาระบุว่า
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศเจตนารมณ์ไว้ในการประชุมระดับสูงว่าด้วยความไร้รัฐ (High-Level Segment on Statelessness) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2562 ณ นครเจนีวา สหพันธรัฐสวิส เพื่อเร่งรัดกระบวนการกำหนดสถานะแก่ผู้ที่ยังมีปัญหาและขจัดความไร้รัฐให้หมดไป (zero statelessness) ภายในปี 2567 และล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 เห็นชอบหลักเกณฑ์เร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ เพื่อให้บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร (ชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ 19 กลุ่ม) ที่รอการพิจารณากำหนดสถานะในปัจจุบัน จำนวนกว่า 483,000 คน ได้รับการกำหนดสถานะบุคคลตามกฎหมายและสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ได้ อันสอดคล้องและเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี ซึ่งบัญญัติรับรองให้คนทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลตามกฎหมายในทุกแห่งหน
การดำเนินการตามมติ ครม.นี้ จะช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาคำขอให้ได้มาซึ่งสถานะบุคคลตามกฎหมายให้รวดเร็วยิ่งขึ้น จากเดิมที่ใช้ระยะเวลา 270 วัน สำหรับกระบวนการพิจารณาคำขอออกใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวรของผู้อพยพมาอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลานาน และ 180 วัน สำหรับกระบวนการพิจารณาคำขอมีสัญชาติไทยกลุ่มบุตรของผู้อพยพที่เกิดในไทย เหลือเพียงระยะเวลา 5 วัน
กสม. ขอชื่นชมรัฐบาลในความพยายามแก้ไขปัญหาสิทธิและสถานะบุคคลของผู้ที่ไร้รัฐไร้สัญชาติเพื่อขจัดความไร้รัฐให้หมดไปในปี 2567 ตามที่เคยได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ โดยมติ ครม. ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลดจำนวนบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยปรากฏในโลกดังที่ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย ได้กล่าวชื่นชมไว้ อย่างไรก็ดี กสม. หวังว่า ในการปฏิบัติตามมติ ครม.เพื่อแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลของหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจ จะเป็นไปตามเจตนารมย์ของกฎหมาย มีความระมัดระวังและป้องกันมิให้เกิดการทุจริตทางทะเบียนราษฎรขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้การขจัดความไร้รัฐมีความเป็นธรรมและสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างแท้จริง
สำหรับการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการขจัดความไร้รัฐไร้สัญชาติ กสม. ได้ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งภาคประชาชน องค์กรเอกชน ภาควิชาการ และหน่วยงานของรัฐเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลของประเทศ และได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวหารือในงาน “สมัชชาสิทธิมนุษยชน : เหลียวหลังแลหน้า 2 ทศวรรษ กสม.” เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 โดยได้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อให้ผู้มีปัญหาสถานะบุคคลสามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย และมีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินโครงการคลินิกสิทธิมนุษยชนโดยลงพื้นที่สำรวจสถานะบุคคลและรับเรื่องร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง