ครม.อนุมัติต่อวาระ ‘สุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข’ นั่งผู้ว่ากทพ.อีกสมัย เงินเดือน 5 แสนบาท มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไปแต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 9 กรกฎาคม 2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอการแต่งตั้ง นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข เป็นผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ต่อไปอีกวาระหนึ่ง โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเงินเดือน 500,000 บาท รวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษประจำปี และสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับ ตามมติคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ 4/2567 เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 และครั้งที่ 5/2567 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 ซึ่งกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบแล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไปแต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
สำหรับนายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข เป็นผู้ว่าการ กทพ.คนที่ 15 จบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต ด้านโยธาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท 2 ใบด้านวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต ด้านบริหารโครงสร้างจาก Lamar University, Texas, USA และวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิตด้านโครงสร้าง Texas Tech University, USA
เส้นทางการทำงาน เริ่มต้นเป็นวิศวกรด้านวิชาการและก่อสร้างในการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จนเติบโตตามสายงาน นั่งเป็นรองผู้ว่าการฝ่ายก่อสร้าง ผ่านการทำงานที่ประเทศอเมริกา อยู่บริษัทที่ปรึกษา บริษัท JMI International มีผลงานออกแบบ launching girder ทางด่วนสายบูรพาวิถี ทางวิ่งรถไฟฟ้า BTS และทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D ในปัจจุบัน
และเมื่อปลายปี 2566 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของ นายสุรเชษฐ์ หลังดำรงตำแหน่งสามปีตลอดเวลาที่ยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
โดย นายสุรเชษฐ์ พร้อมด้วย นางศุภาวรรณ์ เหล่าพูลสุข และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แจ้งมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 238,366,762 บาท ไร้หนี้สิน
นายสุรเชษฐ์ แจ้งมีทรัพย์สิน 174,088,068 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 31,645,127 บาท ทั้งหมด 15 บัญชี
เงินลงทุน 8 รายการ 45,715,949 บาท โดยเงินลงทุนมากที่สุดใน บมจ. KCS (หุ้น, หุ้นกู้) มูลค่า 40,641,318 บาท
ที่ดิน 1 แปลง 3,000,000 บาท เป็นที่ดินในเขตสายไหม กรุงเทพฯ โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2 รายการ 15,000,000 บาท เป็นห้องชุด 1 ห้อง และบ้าน 1 หลังใน กรุงเทพฯ
สิทธิและสัมปทาน 8,006,992 บาท เป็นกองทุนสำรอง รฟม. และ ประกันชีวิต
ทรัพย์สินอื่น 10,720,000 บาท เช่น สร้อยคอทองคำ 8 เส้น หนักรวม 21 บาท แหวนเพชร 7 วง พระเครื่อง 11 องค์ ทองคำแท่งหนัก 180 บาท เป็นต้น
นางศุภาวรรณ์ แจ้งมีทรัพย์สิน 64,278,694 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 4,761,291 บาท ทั้งหมด 4 บัญชี
เงินลงทุน 2 รายการ 49,810,786 บาท โดยเงินลงทุนมากที่สุดใน บมจ. KCS มูลค่า 47,879,732 บาท
ที่ดิน 4 แปลง 3,000,000 บาท เป็นที่ดินใน จ.เพชรบูรณ์ ยานพาหนะ 800,000 บาท เป็นรถยนต์ 1 คัน
สิทธิและสัมปทาน 3,356,617 บาท เป็นประกันชีวิต และทรัพย์สินอื่น 2,550,000 บาท เช่น ทองรูปพรรณ 5 ชุด ตุ้มหูเพชร 2 กะรัต นาฬิกา 2 เรือน เป็นต้น
สำหรับบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แจ้งมีทรัพย์สิน 2,756,921 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 2,070,374 บาท ทั้งหมด 4 บัญชี สิทธิและสัมปทาน 686,547 บาท เป็นประกันชีวิต
ทั้งนี้ นายสุรเซษฐ์ แจ้งมีรายได้ต่อปี 11,100,000 บาท เป็นเงินเดือน 6,000,000 บาท โบนัส 2,500,000 บาท เบี้ยประชุม 800,000 บาท เงินปันผล 800,000 บาท และดอกเบี้ยตราสารหนี้ 1,000,000 บาท ส่วนรายจ่ายต่อปี 3,740,000 บาท
ส่วนนางศุภาวรรณ์ แจ้งมีรายได้ต่อปี 1,700,000 บาท เป็นเงินปันผล 700,000 บาท ดอกเบี้ยตราสารหนี้ 1,000,000 บาทส่วนรายจ่ายต่อปี 960,000 บาท
นายสุรเซษฐ์ แจ้งยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมา เงินได้พึงประเมิน ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 40 (1)-(8) จำนวน 9,060,262 บาท
นางศุภาวรรณ์ แจ้งยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมา เงินได้พึงประเมิน ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 40 (1)-(8) จำนวน 1,100,892 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตาม พ.ร.บ.การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 2560 มาตรา 23 ระบุว่า ผู้ว่าการมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละไม่เกิน 4 ปี เมื่อครบสัญญาจ้างและมีอายุไม่เกิน 60 ปี สามามารถเข้ารับการคัดเลือกได้อีก แต่จะทำได้เพียงคราวเดียวเท่านั้น