ปทส.จ่อขยายผลเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง บ.เอกอุทัย เจ้าของโกดังเก็บกากสารเคมี เอี่ยวเหตุเพลิงไหม้ที่ระยอง-อยุธยา เอาผิดผู้ทำสัญญาเช่าโกดัง เตรียมหาความเชื่อมโยง บ.เอกอุทัย-โรงงานเก็นสารเคมีวิโพรเสส มีนายทุนคนเดียวกันหรือไม่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 2 พ.ค. พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผบก. ปทส.) กล่าวถึงเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บกากสารเคมีของกลาง ในพื้นที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยาว่าบก.ปทส.อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอกอุทัยจำกัด หลังพบว่าเป็นเจ้าของโกดังเก็บกากสารเคมีในพื้นที่ จ.ระยอง ที่เกิดเพลิงไหม้ก่อนหน้านี้ และเอาผิดผู้ทำสัญญาขอเช่าโกดังโดยจะมีการส่งสำนวน เพื่อดำเนินกับทั้ง 2 กลุ่มใน 4 ข้อหา เช่น ครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต การจัดการสิ่งปฏิกูล และมูลฝอยโดยมิได้รับใบอนุญาต ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนได้มีการเรียกกลุ่มผู้ต้องหาที่มี 5-6 คนมาสอบปากคำ พบว่า 1 ในนั้น คือผู้ที่ทำสัญญาเช่าโกดังคนแรกไม่ยอมเข้าให้ปากคำ หลังจากนี้จะดำเนินการขอหมายจับ และนำหมายจับดังกล่าว ส่งพร้อมสำนวนให้อัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อส่งฟ้องต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับโกดังเก็บสารเคมี ในพื้นที่ อ.ภาชี จากแนวทางสืบสวนพบว่าเป็นของ บริษัทเอกอุทัย จำกัด ที่มาเช่าโกดังดังกล่าว เพื่อใช้เป็นที่เก็บกากสารเคมี ซึ่งก่อนหน้าเคยถูกตำรวจ บก.ปทส.เข้าตรวจสอบดำเนินคดีตาม พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย ไปแล้วเมื่อปี 66 ปัจจุบันพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปทส. อยู่ระหว่างสรุปสำนวนคดีตามขั้นตอนกฎหมายใกล้แล้วเสร็จ
อีกทั้งจากการที่เจ้าหน้าที่ บก.ปทส. เคยนำกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานทั้ง 2 แห่ง ระหว่าง บริษัทเอกอุทัย จำกัด อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา กับ โรงงานเก็บกากสารเคมีวินโพรเสส อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ยังพบข้อมูลสำคัญ ว่า ทั้งสองบริษัทมีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงถึงกัน ถึงแม้ว่ากลุ่มผู้บริหารของทั้งสองบริษัทจะเป็นคนละกลุ่มกัน แต่ในทางสืบสวน พบว่า มีนายทุนหรือผู้อยู่เบื้องหลังเป็นบุคคลคนเดียวกัน
นอกจากนี้แนวทางสืบสวนยังพบอีกว่า หลังจากที่ โรงงานเก็บกากสารเคมีวินโพรเสส อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ถูกตัดสินให้มีความผิด ได้มีการผ่องถ่าย หรือเคลื่อนย้ายกากสารเคมีของกลางเหล่านี้มาเก็บหรือซุกซ่อนไว้ที่ โกดัง หรือ โรงงานสาขาที่อยู่ในเครือของบริษัท เอกอุทัย จำกัด จำนวน 5 แห่ง แบ่งเป็นในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จำนวน 3 แห่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.อุทัย 2 แห่ง และ อ.ภาชี 1 แห่ง (โกดังที่เกิดไฟไหม้) ส่วนที่เหลืออีก 2 แห่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา และ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งปัจจุบันโรงงานหรือโกดังทั้งหมดเหล่านี้ได้เคยถูก ตำรวจ บก.ปทส. ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.พระราชบัญญัติวัตถุอันตรายไปแล้ว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเร่งสรุปสำนวนคดีเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดขึ้นกับโรงงานทั้ง 2 แห่ง เพื่อความไม่ประมาท ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปทส. ได้ประสานข้อมูลและความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เร่งจัดกำลังเฝ้าจับตาโรงงาน หรือ โกดัง สาขาอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ของ บริษัท เอกอุทัย จำกัด ตามพื้นที่ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้กังกล่าวขึ้นซ้ำอีก