โคลอมเบียผลักดัน 'กฎหมายอาหารขยะ' จัดเก็บภาษีอาหารไม่มีคุณภาพทางโภชนาการ-ให้พลังงานสูงมากเกินไป เพื่อจัดการปัญหาโรคที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ the Guardian ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับ ความพยายามในการผลักดันให้มีการอนุมัติใช้กฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณภาพทางโภชนาการ ให้พลังงานสูงมากเกินไป หรืออาหารขยะ (Junk food law) เพื่อจัดการปัญหาโรคที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตในประเทศโคลอมเบีย (Colombia)
ประเทศละตินอเมริกาเป็นประเทศแรก ๆ ของโลก ที่ริเริ่มภาษีเพื่อสุขภาพโดยมุ่งเป้าไปที่การจัดเก็บภาษีอาหารแปรรูปสูง (ultra-processed foods)
กฎหมายฉบับใหม่ของประเทศโคลอมเบียนี้ ทำให้ประเทศโคลอมเบียเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ในโลก ที่จัดเก็บภาษีอาหารแปรรูปสูง ซึ่งนักรณรงค์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพให้ความเห็นว่า กฎหมายฉบับนี้จะเป็นตัวอย่างให้แก่ประเทศอื่น ๆ ได้
กฎหมายอาหารขยะ ในประเทศโคลอมเบียนี้ ถูกขับเคลื่อนและได้รับการรณรงค์มาหลายปี ซึ่งก่อนหน้านี้ในหลายปีก่อน ได้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ก่อนจะมีการประกาศใช้กฎหมายและมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤศจิกายน 2566 นี้ และจะมีการปรับเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยภาษีส่วนเพิ่ม (additional tax) ที่ส่งผลกระทบต่ออาหารที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการจัดเก็บภาษี 10% ในปีนี้และให้มีผลบังคับใช้ทันที จากนั้นจะเพิ่มการขึ้นภาษีเป็น 15% ในปีถัดไป (พ.ศ. 2567) และจะปรับขึ้นจนถึง 20% ภายใน พ.ศ. 2568
ศาสตราจารย์ Franco Sassi อาจารย์ด้านนโยบายสุขภาพและเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ของ London’s Imperial College Business School กล่าวว่า ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ได้ดำเนินการจัดเก็บภาษีเพื่อสุขภาพ เช่น ภาษีบุหรี่ หรือภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล แต่มีเพียงไม่กี่ประเทศที่ขยายขอบเขตไปถึงกลุ่มอาหารแปรรูป โดย Colombia’s model เป็นโมเดลที่ได้ดำเนินการขยายขอบเขตการจัดเก็บภาษีอาหารแปรรูป ในรูปแบบที่ยังไม่มีประเทศใดทำมาก่อน ดังนั้น โมเดลนี้จึงสามารถนำมาเป็นโมเดลตัวอย่างให้กับประเทศอื่นได้
เป้าหมายของภาษีนี้ คือ อาหารแปรรูปสูง (The tax targets ultra-processed products) หรือที่ทางอุตสาหกรรมอาหาร เรียกว่า อาหารพร้อมรับประทาน (ready-to-eat foods) ซึ่งเป็นอาหารที่ประกอบไปด้วย โซเดียมสูง และไขมันอิ่มตัวสูง อาทิ ช็อคโกแลต และมันฝรั่งทอดกรอบ ศาสตราจารย์ Sassi ยังได้กล่าวอีกว่า ยังคงมีการประนีประนอมให้กับบางอุตสาหกรรม เช่น การยกเว้นการจัดเก็บภาษีในอาหารพื้นเมืองของโคลอมเบียบางชนิด เช่น ไส้กรอกซัลชิชง (salchichón sausage)
โดยทั่วไป อาหารในประเทศโคลอมเบีย พบว่า มีโซเดียมสูง ซึ่งส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหลอดเลือดสมอง และหัวใจล้มเหลว ซึ่งส่งผลต่อการเสียชีวิต 1 ใน 4 ต่อปี นอกจากนี้ ยังพบว่า ชาวโคลอมเบียบริโภคเกลือเฉลี่ย 12 กรัมต่อวัน นับว่าสูงสุดในประเทศแถบละตินอเมริกา และอยู่ในกลุ่มที่สูงที่สุดในโลก โดยเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรผู้ใหญ่ของประเทศโคลอมเบียเป็นโรคความดันโลหิตสูง
ขณะที่ก็ยังพบปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาหารและโรคอ้วน เช่น โรคเบาหวาน โดยพบว่า มากกว่า 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตเกิดจากโรคเบาหวาน ในกลุ่มผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 70 ปี นอกจากนั้น ยังพบว่าประมาณ 76% ของชาวโคลอมเบียเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
Beatriz Champagne executive director ของ the Coalition for Americas’ Health, a Latin American advocacy group กล่าวว่า เราต้องการหลีกเลี่ยงการเดินตามรอยของประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยอย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งพบว่า โรคที่เกิดจากอาหารเป็นปัญหาใหญ่ และในเชิงนโยบายประเทศกลุ่มละตินอเมริกามีความล้ำหน้ามากกว่าใคร
ศาสตราจารย์ Sassi ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่น่าสนใจอย่างมากเกี่ยวกับภาษีดังกล่าวของโคลอมเบีย คือ การมีนโยบายภาษีที่สอดคล้องกับฉลากบรรจุภัณฑ์ และมีการออกคำเตือนด้านสุขภาพ สำหรับอาหารที่มีส่วนผสมที่ไม่ดีต่อสุขภาพในปริมาณสูง เช่น น้ำตาล หรือไขมันอิ่มตัว ตามแบบประเทศเพื่อนบ้านอย่างเอกวาดอร์และเปรู ที่จัดให้มีการแจ้งเตือนในผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากเตือนด้านสุขภาพ โดยฉลากจะมีการใส่ข้อมูล และสร้างแรงจูงใจทางการเงินผ่านการสนับสนุนด้วยค่า incentive เพื่อให้หลีกเลี่ยงการบริโภคผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์เรื่องภาษีใหม่นี้กล่าวว่า ภาษีดังกล่าวอาจทำให้โคลอมเบียต้องต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ เนื่องด้วยวิกฤตค่าครองชีพและราคาอาหารมีผลต่อภาวะเงินเฟ้อ โดย ศาสตราจารย์ Sassi ได้เสนอแนะว่า แม้จะเป็นเรื่องยากแต่ก็สามารถทำได้ ภายใต้การลดภาษีมูลค่าเพิ่มในอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่ออุดหนุนภาษีที่เพิ่มขึ้นสำหรับทางเลือกที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
เรียบเรียงจาก: Colombia passes ambitious ‘junk food law’ to tackle lifestyle diseases