‘บิ๊กป๊อด’ นำทีม ‘พลังประชารัฐ’ ติวเข้มที่ภูเก็ต ‘วราเทพ รัตนเทพ’ ขอ สส. เพิ่มจากครั้งนี้ได้ 39+1 เป็น 93+1 ในรอบหน้า ‘อุตตม-สนธิรัตน์’ เตรียมพร้อมนโยบาย-ปรับภาพลักษณ์พรรคเป็น ‘อนุรักษ์นิยมก้าวหน้า’ ด้าน ‘ไผ่ ลิกค์’ สะท้อนดันแน่ ออกโฉนดบนที่ สปก. - Entertainment Complex
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 21 ตุลาคม 2566 วันที่ 21 ตุลาคม 2566 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ภูเก็ต รีสอร์ท จ.ภูเก็ต พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้จัดสัมมนาพรรคในหัวข้อ “รวมพลังสามัคคี” โดยมีพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะที่ประธานที่ปรึกษาพรรคพลังประชารัฐ ได้รับมอบหมาย จากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ทำหน้าที่ เป็นประธานในการเปิดสัมมนา พร้อมด้วยผู้บริหารพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สส. และกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ทั้ง 8 ด้านของพรรค ร่วมสัมมนาอย่างพร้อมเพรียง
@เตรียมตั้งรับความท้าทายใหม่
พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวเปิดสัมมนาว่า ขอต้อนรับสส. ทุกคน คณะกรรมการบริหารพรรค กรรมการยุทธศาสตร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะตัวแทนพล.อ.ประวิตร มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาพบกับทุกท่านในการสัมมนาอุดมการณ์ผ่านผลงานของพรรคพลังประชารัฐ ในวันนี้ถือเป็นการสัมมนาเป็นครั้งแรก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกคนได้สร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกัน รวมหัวใจพลังประชารัฐให้เป็นหนึ่งเดียว
ทั้งนี้ในยุทธศาสตร์ของพรรคในผลงานที่ผ่านมาโดยพรรคพลังประชารัฐก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2561 และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล มีนโยบายที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มุ่งเน้นในการสร้างความสามัคคีปรองดองให้เป็นประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ ไร้ความขัดแย้งและมุ่งเน้นในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนที่ถือเป็นเจตนารมย์อันดีที่ดำรงไว้ในข้อบังคับของพรรคด้วย
ในช่วงที่พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา ก็ได้สร้างผลงานเพื่อเป็นประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการน้ำ การดูแลประชาชนให้กินดีอยู่ดี จัดการที่ดินทำกิน และยังได้มีโยบายใหม่ ๆ ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ทางพรรคตระหนักถึงความท้าทายที่จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพรรคที่ได้เสนอเอาไว้ ซึ่งพรรคก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเชิงยุทธศาสตร์ในการเข้ามาปฏิรูปประเทศ ทั้งนี้ ก็ขอให้บุคลากรของพรรคทุกท่านร่วมแรง ร่วมใจกันทำงานเพื่อประชาชน ไปด้วยกันสุดท้ายนี้ขอให้การสัมมนาในครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและลุล่วงทุกประการ
@อนุรักษ์นิยมก้าวหน้า
ด้านพล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ ประธานยุทธศาสตร์ด้านประสานงานและอำนวยการ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า การถอดบทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ที่ยึดมั่นตามเจตจำนงของพรรค คือการปกป้องสถาบันหลักของชาติ ธำรงไว้. ซึ่งประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข. ที่จะไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ สร้างความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชน ทำให้ประชาชนและคนในชาติหลุดพ้นจากความยากจน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไปสู่การเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ อนุรักษ์นิยมก้าวหน้า คือ ก้าวหน้าทันสมัย แต่ยังคงยึดมั่นสิ่งที่เป็นสถาบันหลักของชาติ โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาประชาธิปไตย
“พรรคจะเป็นสถาบันการเมืองที่มีเสถียรภาพ มีฐานคะแนนเสียงจากทุกภาคส่วนตัวแทนเป็นตัวแทนของประชาชนที่จะมอบความไว้วางใจให้กับแกนนำในการบริหารประเทศ สู่การพัฒนาที่ก้าวหน้ายั่งยืน โดยนำยุทธศาสตร์ของพรรคทั้ง 3 ยุทธศาสตร์ แบ่งเป็น 11 กลยุทธ์ เป็นพันธกิจในการก้าวไปข้างหน้า คือ การขับเคลื่อนทางการเมือง ขับเคลื่อนนโยบาย และการขับเคลื่อนเพื่อผลิกโฉมอัตลักษณ์ของพรรค” พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์กล่าวตอนหนึ่ง
พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า การขับเคลื่อนทางการเมือง คือ การแสดงบทบาทท่าทีและจุดยืนทางการเมือง บนพื้นฐานอุดมการทางการเมือง สอดคล้องกับทิศทางนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ในการปฏิรูปการเมือง เพื่อสร้างประชาธิปไตย ปราศจากความขัดแย้ง ก้าวข้ามความขัดแย้ง ฟื้นฟูบริบททางการเมืองให้เกิดความปรองดอง ของคนในชาติและต่างประเทศ สู่ความเจริญก้าวหน้า
“การขับเคลื่อนนโยบาย คือ การสร้างความทันสมัยและยังยืน ผลักดันนโยบายเพื่อพลิกโฉมประเทศ ในเรื่องนโยบายของประเทศ ที่พรรคพปชร.ขับเคลื่อน เพื่อเผชิญกับความท้าทายระดับโลก ระดับประเทศ อันเนื่องมาจากความเหลื่อมล้ำของสังคม รวยกระจุก จนกระจาย การเข้าสู่สังคมสูงวัย การปฏิวัติทางเทคโนโลยีดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงสังคมดิจิทัล ที่มีความเสี่ยงในเรื่องของความมั่นคงทางด้านอาหาร การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ความขัดแย้งของชาติมหาอำนาจ ซึ่งเป็นวิกฤตที่ไม่มีใครคาดคิด ว่าประเทศจะต้องเตรียมความพร้อมในลักษณะใด” พล.ตงอ.ธรรมศักดิ์กล่าว
พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ ยังกล่าวต่อว่าการขับเคลื่อนเพื่อผลิกโฉมอัตลักษณ์ของพรรค การปฏิรูปการบริหารภายในพรรค โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ได้จัดระเบียบคณะกรรมการ แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านต่างๆ เพื่อให้สอดรับกับการที่จะสร้างอัตลักษณ์ หรือสร้างภาพจำใหม่ เพื่อก้าวไปสู่สถาบันการเมือง มีฐานคะแนน เป็นตัวแทนเครือข่ายให้มีส่วนร่วมอย่างวิถีประชาธิปไตย ใช้กลยุทธ์ทางการเมืองให้มีการสื่อสารแบบสมัยใหม่ ขณะที่ ยุทธศาสตร์ของพรรคแบ่งเป็น 3 ด้าน ในการขับเคลื่อนทางการเมือง
@5 โจทย์นโยบาย - ปรับภาพลักษณ์
ขณะที่นายอุตตม สาวนายน ประธานกรรมการด้านนโยบายและการปฏิรูปเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวว่า เครื่องมือสำคัญในการทำงานของรัฐบาลคือนโยบาย และกระบวนการขับเคลื่อนนโยบายให้ได้ผลสำเร็จ โดยมี 5 โจทย์ใหญ่ คือ เรื่องปากท้อง ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศไว้เร่งด่วน เช่น การแจกเงินดิจิทัลการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวลดภาระค่าใช้จ่ายการหนี้สินภาคการเกษตรลดราคาพลังงานและผลักดันซอฟพาวเวอร์ ส่วน4 โจทย์ใหญ่ เป็นเรื่องของอนาคตที่ประชาชนคาดหวัง คือ ขจัดความยากจนและความเหลื่อมล้ำที่ฉุดรั้งพัฒนาประเทศ ,ลดภาระหนี้ครัวเรือนปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและภัยแล้ง, โครงสร้างประชากรสูงวัยและแรงงานที่ยังขาดทักษะ
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานกรรมการด้านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวว่า ภารกิจของเราคือการทำงานร่วมกัน โดยความสำเร็จของการเลือกตั้งคือเป้าหมายของเรา ความนิยมของพรรคเป็นไปตามกระแสการเมืองซึ่งมีความสำคัญ และมีผลต่อการเลือกตั้งในหลายพื้นที่ และตนหวังว่าในครั้งหน้า สส.ทั้ง 39 บวก 1 คนจะได้กลับมาอีก วันนี้เราต้องปรับภาพลักษณ์ของพรรค ซึ่งไม่ใช่ว่ามีปัญหา แต่เมื่อบริบทการเมืองเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราต้องปรับภาพลักษณ์ของพรรคให้สอดคล้องกับบริบทการเมืองสอดรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราจะต้องช่วยกันสร้างภาพลักษณ์ของพรรคให้เป็นที่นิยม
“จาก 3-4 เดือนที่มีการประเมินในหลายพื้นที่ ภาพลักษณ์ของพรรคเรากำลังพลิกกลับมา เนื่องจากการเมืองภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองจะพลิกกันไปพลิกกันมา พรรคนี้อาจจะมาแล้วแต่อาจจะแผ่ว บางพรรคอาจไปสะดุดขาตัวเองบางเรื่อง อีกสิ่งหนึ่งคือเราต้อง ตอบตัวเองให้ได้ว่า ใครคือโหวตเตอร์ที่สนับสนุนพรรค ทุกท่านที่ผ่านการเลือกตั้งเรารู้อยู่แล้วว่าเสียงของเราอยู่ที่ไหน ดังนั้นเราจะต้องปรับตัวเองให้สอดรับกับฐานเสียงของพรรคและตรงไหนที่ฐานเสียงเรายังไปไม่ถึงเราจะปรับตัวอย่างไร”
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า สำหรับการทำงานของพรรค ต้องสร้างการยอมรับกับพรรค ทั้งนโยบายการทำงาน ภาพบุคลากรของพรรคต้องโดดเด่น จึงต้องร่วมกันทำงานทุกฝ่าย ยุคนี้พรรคต้องปรับบทบาทในสภาให้โดดเด่น เพราะประชาชนมองบทบาทของสส.ในสภา ซึ่งจากที่คณะได้ติดตาม การทำงาน สส.ในสภาก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ มีการเก็บทุกคลิปที่สส.พรรคอภิปรายมาสื่อสารในพรรค รวมถึงผลงานของพรรคต้องจับต้องได้ และในมิติของการบริหารในกระทรวงที่พรรครับผิดชอบ ผลงานของกระทรวงคือผลงานของพรรค และขยายลงพื้นที่
“เป้าหมายของพรรค พปชร.ต้องยืนหยัดเป็นสถาบันทางการเมือง พรรคพปชร. จะต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และจะต้องเป็นพรรคที่จะเข้าไปสู่การเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างสง่าภาคภูมิ และเป้าหมายคือทุกท่านต้องกลับมา และการเลือกตั้งครั้งหน้าเราจะต้องได้สส.มากกว่าเดิม แต่วันนี้เร็วเกินไปที่จะบอกว่าได้สส.เท่าไหร่ ซึ่งทุกคนจะต้องช่วยกันในจังหวัดของท่านจะต้องขยายเขตเลือกตั้ง และเตรียมสรรหา ผู้สมัครที่มีความแข็งแกร่งรองรับเอาไว้ สส. แต่ละจังหวัดนอกจากจะมีหน้าที่รักษารักษาพื้นที่แล้ว ยังจะต้องมองพื้นที่ที่มีโอกาสที่เรามีบุคลากรมีผู้สมัครในอนาคตมาทำงานร่วมกัน เพื่อเตรียมการเลือกตั้งครั้งต่อไป” นายสนธิรัตน์ระบุ
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ทุกคนต้องทำหน้าที่เชื่อมโยงกับกระทรวง เชื่อมโยงกับรองนายกฯ ซึ่งได้เรียนกับพล.ต.อ. พัชราวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ แลรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพปชร.ก็พร้อมทำงานร่วมกัน และจะมาร่วมประชุมพรรคให้บ่อยขึ้น ภารกิจที่พรรครับผิดชอบจะต้องเกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไม่ใช่เป็นเรื่องของพรรค แต่ทั้งหมดเป็นความตั้งใจของหัวหน้าพรรค ที่ต้องการให้เราทำงานร่วมกัน
@หวังสูง 93+1 ที่นั่ง สส.ครั้งหน้า
ด้านายวรเทพ รัตนากร ผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายสนธิรัตน์แสดงความคิดเห็นว่า สิ่งที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ กรรมการบริหารพรรค บอกว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าต้องได้มากกว่า 39 บวก 1 จริงๆ แล้ว ถ้ากลับตัวเลขจะกลายเป็น 93 บวก 1 หรือเปล่า เพราะพรรคพลังประชารัฐเคยได้ถึง 117 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 แต่อันหนึ่งที่หลายคนมองไม่ออกคือ เมื่อปี 2562 พรรคพลังประชารัฐ มี สส.มาจากพรรคทุกภูมิภาคของประเทศไทย รวมถึง กทม.และครั้งนี้พรรคก็มี สส.ทุกภาค ขาดแค่ กทม. จึงอยากให้ทุกภาคมีนโยบายภาค โดยเป็นเรื่องของปัญหาใหญ่ๆ ของแต่ละภูมิภาค โดยเฉพาะเรื่องที่หลายรัฐบาลแก้ไขไม่ได้ น่าจะนำมาจุดประกาย แม้จะเป็นพรรคอันดับ 4 แต่ควรจะมีนโยบายเหล่านี้ มาใช้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
@ไผ่ ลิกค์: ขายนโยบายออกกโฉนดที่ สปก.-Entertainment Complex
จากนั้น สส. ได้พูดถึงปัญหาที่อยากจะสะท้อนและต้องการคำตอบจากผู้บริหาร อย่างนายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า สำหรับนโยบาย ที่ดิน สปก. ถือเป็นเรื่องสำคัญสุดในการสัมมนาครั้งนี้ แต่เชื่อว่า การผลักดันที่ดิน สปก.เป็นโฉนด ขายได้ ในแบบที่ควรจะเป็น จะเป็นสิ่งสำคัญ โดยเรื่องนโยบายพรรคส่วนตัวอยากให้จับประเด็นหลักๆ ถูกใจประชาชน อย่างที่ตนเคยลงพื้นที่ ประชาชนต้องการจริงๆ ซึ่งร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เคยประกาศไว้ว่า 15 มกราคม 2567 จะเริ่มแจกเป็นของขวัญ จึงอยากฝากพรรคให้ช่วยกันผลักดัน เพื่อจะได้เป็นนโยบายนำไปพูดกับพี่น้องประชาชนได้ และสิ่งที่เราพยายามเสนอออกมาในรูปแบบต่างๆ เราจะตั้งใจทำ
นายไผ่ ยังกล่าวต่อว่า สิ่งต่างๆที่พวกเราพยายามผลักดัน สนับสนุนออกมาในรูปแบบของกฎหมายต่างๆ เราก็จะตั้งใจทำ และอีกไม่นาน มีเรื่องที่เราพยายามต่อสู้ พยายามผลักดันเข้าสู่สภา คือ Entertainment Complex ในการหารายได้เข้าประเทศ เราจะผลักดันเข้าสู่สภาฯเพื่อนำไปสู่การแก้ไขกฎหมาย ซึ่งถือเป็นผลงานของเราที่ชัดเจน อยากให้ทุกคนช่วยกันในเรื่องนี้เพื่อให้สิ่งที่อยู่ใต้พรม ทำให้เกิดปัญหาหลายๆอย่าง กลับมาเพื่อหารายได้เข้าประเทศ ทำให้ประเทศมั่งคั่งให้ได้ ฝากพี่น้องภายในพรรคด้วย
“อยากจะฝากไปยังนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่าประเทศเราผ่านโควิด-19 มาด้วย อสม. มีการร้องเรียนถึงเรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จะใช้ช่วยประชาชน ไม่พอ จึงอยากให้ส่งเสริม และสุดท้ายอยากจะฝากเรื่องของการขอใช้พื้นที่ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากว่ามี อบต.ร้องเรียน ว่าไม่สามารถขอใช้พื้นที่บางพื้นที่ได้ เนื่องจากถูกอ้างว่าเป็นพื้นที่ป่า ทั้งที่ไม่ใช่พื้นที่ป่าแล้ว อยากขอให้ การใช้พื้นที่ต่างๆขั้นตอนที่ง่ายมีขั้นตอนที่ง่ายขึ้น กำหนดเป็นนโยบายเลยว่าให้เป็น One Stop Service ขออนุญาตเพียงหน่วยงานเดียว เพื่อให้ชาวบ้านเข้าถึงแหล่งที่ทำกิน เชื่อว่าถ้าเราทำได้ เราจะชนะและอยู่ในใจพี่น้องประชาชน” นายไผ่กล่าว
ด้านนายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า นายไผ่ ลิกค์ ถือว่าเป็นสาลิกาลิ้นทองก็ว่าได้ เพราะสามารถไปต่อรองจนพรรคเราได้ประธานกรรมาธิการเพิ่มจาก 3 มาเป็น 4 คณะ ก็คือ ข้อตกลงจาก 3 เป็น 4 ประกอบด้วย 1. คณะกรรมาธิการการกีฬา 2. คณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค 3.คณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และ 4. คณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลเกษตรกรรม เนื่องจากเรามีอยู่4 คณะ ที่เราเป็นประธานกรรมาธิการอยู่ ดังนั้นเองเราสามารถผลักดันแนวทางการทำงาน ผ่าน สส.ไปยังกรรมาธิการทั้ง 4 คณะได้