สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย-มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์-สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ลงนามความร่วมมือการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ น้อมนำแนวพระราชดำริฯ มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งภาคอุตสาหกรรมและชุมชนรอบข้าง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2566 เวลา 11 นาฬิกา นายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ เป็นประธานเปิดงานและร่วมเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงนามความร่วมมือ “การบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่” บนเวทีเสวนา “Action Together for a Better Thailand” ในงาน มหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน Sustainability Expo 2023 หรือ SX 2023 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ โดยมี ดร.รอยล จิตรดอน กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือ อพ. ดร.รอยบุญ รัศมีเทศ ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ หรือ สสน. และนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท.ร่วมลงนาม
นายสุเมธ กล่าวว่า สถานการณ์โลก เริ่มจาก Global Warning ที่เตือนมาก่อนแล้วว่า สภาพภูมิอากาศโลกกำลังเปลี่ยนแปลง ไม่เป็นไปตามฤดูกาล และปีนี้ทุกคนต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ของโลกที่เป็น Global Boiling ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานแนวทางไว้หมดแล้ว ตั้งแต่ จากนภา ผ่านภูผา สู่มหานที และมีตัวอย่างพื้นที่จริงให้เห็น ฉะนั้นทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชนและชุมชน ต้องร่วมมือกันดำเนินตามแนวพระราชดำริ เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันให้คนรุ่นต่อไป
นายสุเมธ กล่าวด้วยว่า “จากการน้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ มาปฏิบัติ จนเห็นความสำเร็จของการบริหารจัดการทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า ทำให้เกิดพื้นที่ตัวอย่างเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ำชุมชน ตามแนวพระราชดำริ แล้ว 26 แห่ง กระจายอยู่ในภาคต่างๆทั่วประเทศ เป็นความสำเร็จที่ชุมชนดำเนินงาน จากล่างขึ้นบน แก้ปัญหาพื้นที่แบบพึ่งตนเอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่เห็นได้ชัด คือ จากแห้งแล้งไม่มีน้ำ จากเขาหัวโล้น เป็น วนเกษตร ปัจจุบันมีน้ำกินน้ำใช้ตลอดปี”
สำหรับการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการเล็งเห็นถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์น้ำของประเทศในปัจจุบัน ทั้งปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง ทั้ง 3 หน่วยงาน จึงมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำของประเทศให้เกิดเสถียรภาพและมีความมั่นคงต่อความต้องการใช้น้ำในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม
โดยทั้ง 3 หน่วยงานจะร่วมกันดำเนินงานความร่วมมือเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยน พัฒนา และประยุกต์ใช้คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ สำหรับการบริหารจัดการน้ำ ให้เกิดการพัฒนาต้นแบบการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ พร้อมส่งเสริมให้บุคลากร เครือข่ายสมาชิกภาคอุตสาหกรรม และผู้เกี่ยวข้อง มีความรู้ความเข้าใจ ด้วยการพัฒนาฐานข้อมูลด้านน้ำให้ครอบคลุมครบถ้วนทุกมิติ รวมไปถึงส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยการน้อมนำแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน ของมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ประกอบกับการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำของ สสน. ดำเนินงานร่วมกับเครือข่ายสมาชิกภาคอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท.
ภายในงานยังมีการนำเสนอการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ Global Boiling โดยผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ ในหัวข้อ “Global Boiling! Changing Management & Resilience” โดย Mr. Marco Toscano-Rivalta, Chief of the Regional Office for Asia and the Pacific, the United Nations Office for Disaster Risk Reduction (UNDRR) และ Ms. Caroline Turner, Water Scarcity Programme Manager Food and Agriculture Organization (FAO)
จากนั้นเป็นการเสวนาในหัวข้อ “Global Boiling! Working Together 2 Better ESG” โดย นายวิชัย อัศรัสกร ประธานกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ, นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ดร.ชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารความยั่งยืน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมเสวนา โดยมี ดร.รอยบุญ รัศมีเทศ ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ เป็นผู้ดำเนินรายการ
นายวิชัย กล่าวว่า ในปี 2541 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ พระราชทานแนวทางให้ ดร.รอยล จิตรดอน ทำข้อมูลลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง จากนั้น จากปี 2555 จนถึงปัจจุบัน สสน. ได้พัฒนาเป็นคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ เพื่อใช้ในการสนับสนุนข้อมูลน้ำของประเทศ และยังได้พัฒนานวัตกรรมโทรมาตรอัตโนมัติ ที่ สสน. ได้ประยุกต์ขึ้นมา เพื่อใช้ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้บริหารจัดการน้ำของประเทศ ปัจจุบันได้ติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติมากกว่า 1,000 สถานี ทั่วประเทศ แสดงผลแบบ Real Time บนเว็บไซต์ และ แอปพลิเคชัน ThaiWater นอกจากนี้ สสน. ยังมีนวัตกรรมด้านงานสำรวจภูมิประเทศ จัดทำข้อมูลสารสนเทศน้ำในระดับพื้นที่ เช่น แผนที่น้ำ ผังน้ำ ส่วนในระดับชุมชน ได้ดำเนินงานจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน ร่วมกับมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ในการถ่ายทอดการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศ มาจัดการน้ำในพื้นที่มากกว่า 1,800 หมู่บ้าน ที่พร้อมบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ร่วมกับภาคอุตสาหกรรม
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ส.อ.ท. เห็นถึงความสำคัญของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการเกษตรของไทย ที่น้ำเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งภาคอุตสาหกรรม จำเป็นต้องมีข้อมูลน้ำที่ครบถ้วน เพื่อใช้สนับสนุนการบริหารจัดการน้ำได้อย่างเหมาะสม และทันเหตุการณ์ ขณะที่ภาคเกษตรต้องบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ เพื่อให้มีผลผลิตได้อย่างต่อเนื่อง มาสนับสนุนอุตสาหกรรมด้วย
“ส.อ.ท. ได้ร่วมมือกับ มูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ และ สสน. พัฒนาฐานข้อมูลด้านน้ำสำหรับบริหารจัดการน้ำของภาคอุตสาหกรรม โดยน้อมนำแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ มาปรับใช้ในการพัฒนาและบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ ให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งภาคอุตสาหกรรมและชุมชนรอบข้าง และได้ชักชวนภาคอุตสาหกรรม มาร่วมกันลงมือทำ ไม่ใช่เพื่อความยั่งยืนของภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่เพื่อ Better Thailand” นายเกรียงไกร กล่าว
ดร.ชนะ กล่าวว่า ขณะนี้ถึงเวลาแล้ว ที่ภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม ต้องมาร่วมกัน ดำเนินงาน ESG เพื่อส่งมอบโลกน่าอยู่ และยั่งยืน ให้คนรุ่นต่อไป ซึ่ง SCG ได้ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องน้ำ มานานกว่า 15 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราเห็นแล้วว่าเมื่อชุมชนมีทรัพยากรและผลผลิต จะสามารถต่อยอดไปสู่พลังชุมชน เกิดเป็นรายได้ที่มั่นคง ทำให้ปัจจุบัน SCG ยกระดับแนวทางดำเนินงาน เรื่อง ESG 4 plus มาเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจแล้ว ซึ่ง SCG เป็นตัวอย่างของภาคอุตสาหกรรมที่ได้ลงมือทำแล้ว จึงเชิญชวนเพื่อนภาคอุตสาหกรรมมาร่วมลงมือทำไปด้วยกัน