สำนักงาน ป.ป.ช. เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ 'พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543' เพื่อปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมในปัจจุบัน แสดงความคิดเห็นตั้งแต่วันนี้ - 20 เมษายน 2566
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 12 เมษายน 2566 นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า สำนักงาน ป.ป.ช. จะดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของ 'พระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543'เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปปรับปรุงพัฒนากฎหมายดังกล่าวให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยในปัจจุบัน ตลอดจนพัฒนาให้สอดคล้องกับหลักสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศ รวมถึงลดความซ้ำซ้อนและขัดแย้งกันของกฎหมาย
โดยในการประเมินผลสัมฤทธิ์พระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 สำนักงาน ป.ป.ช. จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ตลอดจนต้องกระทำตามแนวทาง
การประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่คณะกรรมการพัฒนากฎหมายโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีกำหนด ซึ่งจะต้องมีการประกาศการรับฟังความคิดเห็นและข้อมูลประกอบการรับฟังความคิดเห็น
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและแนวทางดังกล่าว สำนักงาน ป.ป.ช. จึงออกประกาศไว้ให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (1) นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี (2) ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. (3) กองทุนหรือนิติบุคคลที่มีอำนาจจัดการกองทุน ส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือเป็นนิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น (4) หน่วยงานรัฐ (5) บุคลากรของสำนักงาน ป.ป.ช. และ (6) ประชาชนทั่วไป เข้ามาแสดงความคิดเห็นใน 2 รูปแบบ ได้แก่ การรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบกลางทางกฎหมาย และการสำรวจความคิดเห็น
ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. จึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพระราชบัญญัติดังกล่าวผ่านระบบออนไลน์ ได้ที่เว็บไซต์ www.law.go.th หรือผ่านคิวอาร์โค้ด โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นเป็นเวลา 1 เดือน นับตั้งแต่ วันที่ 20 มีนาคม ถึงวันที่ 20 เมษายน 2566
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี นับว่ามีความสำคัญต่อภาคประชาชนอย่างยิ่ง เนื่องจากจะเป็นมาตรการที่คัดกรองตัวแทนของประชาชนที่เป็นนักการเมืองซึ่งจะเข้ามาบริหารประเทศในฐานะรัฐมนตรี ซึ่งควรเข้ามาทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน ให้มุ่งเน้นให้ตั้งใจทำหน้าที่ด้วยความทุ่มเท ป้องกันการกระทำที่ขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม และไม่เบียดบังเวลาที่จะต้องบริหารราชการแผ่นดินไปบริหารธุรกิจส่วนตัวหรือแสวงหาประโยชน์จากการที่ตนดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตน