พี่ชาย เหยื่อคดีฆาตกรรมหมกศพทิ้งรถที่ไต้หวัน เข้าพบตำรวจกองปราบ จ่อดำเนินคดี 'สันติ' เพิ่ม พร้อมมอบคลิปเสียงหลักฐานสำคัญ จวกน้องสาวถูกใส่ร้ายพัวพันธุรกิจผิดกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2565 จากกรณีเจ้าหน้าที่สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย และตำรวจไต้หวัน ขอความร่วมมือมายังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อขอให้ติดตามจับกุมนายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม 2 สามีภรรยา รวมลูกแฝดในท้อง รวม 4 ศพ ทิ้งท้ายรถ BMW ก่อนหลบหนีกลับมายังประเทศไทย ตามที่มีการนำเสนอไปก่อนหน้านี้
ความคืบหน้าคดีดังกล่าวล่าสุด นายยิ่งยศ แซ่หลี่ อายุ 37 ปี พี่ชายของ น.ส.พจนีย์ หรือ มี่ แซ่ลี่ ผู้เสียชีวิต เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป. เพื่อนำพยานหลักฐานต่างๆมามอบให้กับพนักงานสอบสวนประกอบสำนวนคดีเพิ่มเติม
ทั้วนี้ภายหลังเสร็จสิ้นการเข้าให้ปากคำ นายยิ่งยศ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า การเดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวนในวันนี้เนื่องจาก ก่อนหน้าได้มีพลเมืองดีส่งหลักฐานสำคัญในคดีการเสียชีวิตของน้องสาวมาให้ตนเอง เป็นคลิปเสียงสนทนาระหว่าง นายสันติ ผู้ต้องหากับแรงงานไทยรายหนึ่งในไต้หวัน ความยาวประมาณ 16 นาที
รายละเอียดบทสนทนาภายในคลิปเสียงดังกล่าว นายสันติ ผู้ต้องหา มีการพูดพาดพิงน้องสาวหรือผู้ตายในลักษณะใส่ร้ายให้เสื่อมเสีย อ้างว่าเป็น มาเฟีย หรือ คนสั่งการ เกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย อาทิ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการยาเสพติด และ ขบวนการค้ามนุษย์แรงงานข้ามชาติ จำเป็นต้องฆ่า เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ยืนยันว่าสิ่งที่ นายสันติ พูดออกมาเป็นการใส่ร้าย ปรุงแต่งขึ้นมาไม่เป็นความจริง รวมถึงตัวนายสันติ ก็เป็นผู้บันทึกคลิปเสียงนี้ขึ้นมาด้วยตนเอง ส่อเจตนาให้เห็นว่าเป็นการจงใจสร้างหลักฐานชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง
นายยิ่งยศ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ครอบครัวของตนกับนายสันติ สนิทสนมกันมาก รักเหมือนเป็นคนในครอบครัว ช่วยเหลือทุกอย่าง ไม่คิดว่าจะมาทำแบบนี้กับคนที่เคยมีพระคุณ อยากรู้ว่าทำไปเพื่ออะไร ส่วนตัวเชื่อว่าสาเหตุการลงมือสังหาร น่าจะมาจากเรื่องเงินทอง เนื่องจากตัวนายสันติ มีหนี้สินต่างๆรวมกว่า 20 ล้านบาท รวมถึงยังเคยยืมเงินและทองคำ 15 บาท ของน้องสาว รวมเป็นเงินกว่า 4 ล้านบาท อย่างไรก็ตามยอมรับว่าก่อนหน้านี้เคยมีความคิดจะตั้งรางวัลนำหากสามารถติดตามตัวนายสันติ หรือ คนร้ายได้ เป็นเงิน 6 หลัก แต่ก็ยังเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะต้องขอปรึกษาหารือกับผู้หลักผู้ใหญ่ถึงความเหมาะสมก่อน