‘สกลธี’ปราศรัยใหญ่ลานคนเมือง โวอยู่วงการเมือง 16 ปี ทั้ง ส.ส.-รองผู้ว่าฯ เข้าปัญหาเป็นอย่างดี พร้อมอาสาเป็นผู้ว่าฯ กทม.คนที่ 17 ย้ำเป็นอิสระอย่างแท้จริง ไม่ต้องทำงานตอบแทนพรรคการเมืองไหน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค.2565 นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯกทม.) จัดเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรก ณ ลานคนเมือง
นายสกลธี กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญกับเราทุกคน การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เกือบทุกครั้ง มีตัวเด่นๆอยู่ไม่กี่คน แต่ครั้งนี้สมัครกันมา 31 คน ขอดีทำให้หลายคนนำเสนอนโยบายดีๆ ให้กับชาว กทม. และเป็นประโยชน์ที่คน กทม.จะได้เลือกคนเข้าไปทำงานแทนเรา ตนเองก็อาสาสมัครที่จะเป็นผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้ หลายคนอาจจะไม่รู้จักตน แต่ตนอยู่ในวงการการเมืองมาแล้ว 16 ปี เคยเป็น ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เคยเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. 4 ปี ก่อนลาออกมาลงสมัครครั้งนี้ และที่สำคัญมีหลายสื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่โดนคนขุดมาว่าเป็นแกนนำ กปปส. ขอเรียนตรงนี้ว่า ไม่เคยเสียใจและเชื่อมั่นในอุดมการณ์ร่วมกับคนไทยหลายล้านคนที่ออกมาต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย หรือ โครงการรับจำนำข้าวที่ทำให้ประเทศเสียหายหลายแสนล้านบาท
นายสกลธี กล่าวอีกว่า หลายคนถามว่าลงสมัครผู้ว่าฯกทม.จะชนะหรือไม่ คำตอบง่ายๆ ก็คือที่ลงสมัครเพราะอยากเห็น กทม.ดีกว่านี้ ตนเองเป็นหนึ่งคนที่เติบโตและใช้ชีวิตใน กทม. หนึ่งในเรื่องที่จะทำหากได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. คือการเข้าไปแก้ไขข้อบัญญัติของ กทม.ที่ล้าหลัง เพื่อให้งบประมาณลงไปได้ทุกตารางนิ้วของเมือง ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่สาธารณธ ทุกหลังคาเรือนต้องมีน้ำใช้ไฟต้องสว่าง
นายสกลธี กล่าวด้วยว่า กทม.ได้งบประมาณอุดหนุนปีละ 8 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อหักรายจ่ายประจำ หนี้สะสมของผู้ว่าฯแต่ละคน ทำให้แต่ละปีเหลืองบประมาณเพียง 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งต้องนำไปใช้ในทุกกิจกรรมและพัฒนาทั้ง 5 เขต และในช่วงโควิดที่ผ่านมา ทำให้เหลือปีละหมื่นกว่าล้านบาทเท่านั้น คิดเป็นงบประมาณเฉลี่ยไม่ถึง 2,000 บาทต่อคน ทั้งนี้ผู้สมัครทุกคนหาเสียงหมดว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มีคำถามว่าจะหาเงินจากไหน ตนจะเป็นคนแรกที่หาเงินได้ ใช้เงินเป็น และกระจายเงินไปทุกเขตอย่างเท่าเทียม
สำหรับตัวอย่างการหารายได้ให้ กทม. เช่น การเก็บภาษีเมืองจากโรงแรมและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพราะ กทม.เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเป็นอันดับหนึ่งของโลก ยกตัวอย่างปี 2559 มีนักท่องเที่ยว 60 ล้านคน หากคิดภาษีห้องละ 100 บาท ก็อาจทำให้ กทม.มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนั้นยังมีนโยบายที่จะให้เอกชนรับจัดการขยะ อาจทำให้มีรายได้ให้ กทม.อีก 5,000 ล้านบาท ดังนั้นแค่ 2 นโยบายนี้ กทม.จะมีเงิน 8,000 ล้านบาทหรือ 3.2 หมื่นล้านบาทใน 4 ปี สามารถนำไปทำโรงเรียนใกล้บ้าน สวนพื้นที่ชั้นนอก ทำถนน ทำท่อ เติมไฟ เติมกล้องซีซีทีวี เป็นต้น
นายสกลธี กล่าวย้ำว่า วันนี้มาถึงโค้งสุดท้ายเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มีคนอีกมากที่ยังไม่ตัดสินใจ และมีเหตุผล 3 ข้อที่อยากให้ประชาชนตัดสินใจเลือกผู้ว่าฯชื่อนายสกลธี คือ 1.ได้ผู้ว่าฯ กทม.ที่มีไฟทำงาน เพราะในวัย 44 ปี มีพลังและพร้อมลงพื้นที่พบประชาชนเคียงข้างข้าราชการ 2.ได้ผู้ว่าฯกทม. ที่มีประสบการณ์ทำงาน เพราะ 16 ปีที่ทำงานการเมือง 12 ปีเป็น ส.ส.อีก 4 ปีเป็นรองผู้ว่าฯกทม. รู้รายละเอียด รู้ขั้นตอนในการทำงาน รู้จักคน รู้อุปสรรค รู้วิธีแก้ เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสที่จะได้ทำ ดังนั้นวินาทีแรกที่เดินเข้าศาลาว่าการ กทม. ก็พร้อมทำงานได้เลยไม่ต้องรออุ่นเครื่อง 3.ได้ผู้ว่าฯกทม.หาเงินได้ ใช้เงินเป็น กระจายงบประมาณทั่วเมืองไม่กระจุกเฉพาะพื้นที่ชั้นใน 4.ได้ผู้ว่าฯกทม.ที่มีความอิสระทำงานเพื่อคน กทม.อย่างแท้จริง มีข้อดีไม่ต้องตอบแทนใครหรือพรรคการเมืองไหน คนที่จะต้องตอบแทนมีคนเดียวคือ คน กทม.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากการปราศรัยครั้งนี้ ยังได้มีการเปิดตัวทีมที่ปรึกษาของนายสกลธี อาทิ นายจิรวัฒน์ ตั้งปณิธานนท์ CEO & Co-founder ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร Quantum Technology Foundation Thailand (QTFT) , นายฝันดี จรรยาธนากร นักร้องและนักแสดง และเจ้าหน้าที่กู้ภัย , น.ส.นริศรา ลิ้มธนากุล อดีตที่ปรึกษาด้านระบบขนส่งมวลชน บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด , นายกฤษณะ แก้วธำรง อดีตรองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นต้น