นายกฯ ร่วมพิธีรับมอบ ‘ไฟเซอร์' 1.5 ล้านโดส จากรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมรับมอบ 'แอสตร้าเซนเนก้า' 415,040 โดส จากรัฐบาลสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังรับมอบชุดตรวจโควิด ATK 1.1 ล้านชุด พร้อมเครื่องช่วยหายใจ 102 เครื่องจากสมาพันธรัฐสวิส
-------------------------------------------------------------------
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีรับมอบวัคซีนไฟเซอร์จำนวน 1,503,450 โดส จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยมีนายไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เข้าร่วมพิธีด้วย
ภายหลังเสร็จสิ้นพิธี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้สนับสนุนวัคซีนในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมิตรแท้และความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศที่มีมายาวนานกว่า 188 ปี พร้อมขอขอบคุณ นางแทมมี่ ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกสหรัฐอเมริกา ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ได้ผลักดันและสนับสนุนให้ไทยได้รับวัคซีนเพิ่มเติมอีกจำนวน 1 ล้านโดส
ด้าน นายไมเคิล ฮีธ อุปทูตสหรัฐฯ กล่าวว่า ทางสหรัฐฯ มีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในพิธีส่งมอบวัคซีนไฟเซอร์ในวันนี้ และภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมกับไทยในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโรคโควิด รวมถึงยินดีที่ไทยและสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ที่ยาวนาน และความร่วมมือครอบคลุมทุกมิติ ทั้งความมั่นคง สาธารณสุข และเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เป็นระยะเวลาอันยาวนานที่ไทยและสหรัฐฯ มีความร่วมมือทางด้านสาธารณสุข และการพัฒนาวัคซีนร่วมกันเพื่อป้องกันโรคระบาด การส่งมอบวัคซีนวันนี้นับเป็นการยกระดับความร่วมมือดังกล่าวให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โอกาสนี้ อุปทูตสหรัฐฯ ยังกล่าวขอบคุณรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้ดูแลประชาชนชาวสหรัฐฯ ในไทยเป็นอย่างดีในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด
วันเดียวกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานในพิธีรับมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 415,040 โดส ที่จะเดินทางมาถึงประเทศไทยวันที่ 3 ส.ค.2564 จากรัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยมี นายเอวาน โจนส์ อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนรัฐบาลสหราชอาณาจักรเข้าร่วมพิธี ซึ่ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถวายพระพรแด่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในนามของรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย ขอให้ทรงพระเกษมสำราญ พระพลานามัยแข็งแรง และฝากความระลึกไปยัง นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณในมิตรไมตรีและความห่วงใยของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ผ่านการสนับสนุนวัคซีน สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ไทย-สหราชอาณาจักร ที่แน่นแฟ้นยาวนานมากว่า 400 ปี นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การสนับสนุนวัคซีนโควิดของสหราชอาณาจักร จะสนับสนุนช่วยให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อได้อย่างเข้มแข็งและมั่นคง โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ สหราชอาณาจักรเป็นต้นแบบในด้านการบริหารการกระจายวัคซีน ซึ่งสามารถจัดวัคซีนให้ประชาชนได้จำนวนมาก ทั้งนี้ เชื่อมั่นในความสัมพันธ์ของไทย-สหราชอาณาจักร ที่จะร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปพร้อมกัน
ขณะที่ อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ได้ถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ และกล่าวว่ายินดีที่ได้มีส่วนช่วยเหลือประเทศไทยในสถานการณ์เช่นนี้ และขอบคุณที่ให้การต้อนรับในวันนี้ ซึ่งในวันพรุ่งนี้วัคซีนโควิดจะเดินทางถึงประเทศไทย ตามนโยบายของสหราชอาณาจักรที่ประสงค์บริจาควัคซีนให้แก่มิตรประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือ
บ่ายวันเดียวกัน นายอิกนาซิโอ กัสซิส รองประธานาธิบดี และ รมว.ต่างประเทศ สมาพันธรัฐสวิสหรือสวิตเซอร์แลนด์ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชีย และเดินทางเยือนประเทศไทยเพื่อฉลองโอกาสครบรอบ 90 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สมาพันธรัฐสวิส โดยมีนายอนุทิน , นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ และนายวราวุธ ศิลปะอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับ นายอิกนาซิโอ กัสซิส ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่จะได้หารือในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสนใจ และกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน พร้อมหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะรักษาพลวัตของความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายทั้งด้านการค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม และความร่วมมือในเวทีระหว่างประเทศ ให้ใกล้ชิดต่อไป โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ขอบคุณสมาพันธรัฐสวิสที่เป็นมิตรประเทศที่ดีต่อไทยมาตลอด โดยเฉพาะการบริจาคเครื่องช่วยหายใจ และชุดตรวจหาเชื้อโควิดแบบทราบผลเร็วให้ประเทศไทยระหว่างการเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ด้วย
รองประธานาธิบดี และ รมว.ต่างประเทศ สมาพันธรัฐสวิสหรือสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า ยินดีที่ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ โดยไทยและสมาพันธรัฐสวิสมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด การเยือนไทยเป็นประเทศแรกการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า สมาพันธรัฐสวิสให้ความสำคัญกับไทย
สำหรับความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายต่างยินดีที่ไทยและสมาพันธรัฐสวิสเป็นคู่ค้าที่สำคัญของกันและกัน โดยสวิสเป็นคู่ค้าอันดับสองของไทยในยุโรป และไทยเป็นคู่ค้าอันดับสองของสมาพันธรัฐสวิสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ กลุ่มสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association – EFTA) ยังเป็นคู่ค้าที่มีความสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศของไทย โดยการค้ารวม ไทย-EFTA ในปี 2563 มีมูลค่า 10,445.34 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการค้าประมาณร้อยละ 2.4 ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย ไทยจึงให้ความสำคัญในการฟื้นการเจรจาจัดทำความตกลง FTA ไทย – EFTA ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขยายโอกาสด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังเชิญชวนสมาพันธรัฐสวิสเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มเติมในสาขาการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ สุขภาพและเทคโนโลยีการแพทย์ เครื่องมืออัจฉริยะและหุ่นยนต์ เทคโนโลยีดิจิทัล และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งรองประธานาธิบดีฯ ยินดีสนับสนุนเอกชนสวิสเพื่อพิจารณา และหวังว่าไทยจะสร้างบรรยากาศและสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพและเอื้อต่อการลงทุน
นายอนุชา กล่าวด้วยว่า ไทยและสมาพันธรัฐสวิสยังเห็นพ้องให้ฟื้นฟูการเดินทางท่องเที่ยวระดับประชาชน โดยก่อนการแพร่ระบาดของโควิด ต่างชื่นชมจำนวนการเดินทางระหว่างกัน และยินดีสนับสนุนเพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศมากขึ้น หากสถานการณ์คลี่คลาย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนนักท่องเที่ยวจากสมาพันธรัฐสวิสที่ได้รับวัคซีนครบแล้วให้เดินทางมาท่องเที่ยวในโครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ โดยไม่ต้องกักกันตัว ซึ่งต่อไปจะขยายมาตรการดังกล่าวไปสู่เมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ หวังว่า ประเทศไทยจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากสมาพันธรัฐสวิสเพิ่มมากขึ้น
ทั้งสองฝ่ายยังหารือถึงความร่วมมือด้านสาธารณสุข โดยต่างขอบคุณรัฐบาลของทั้งสองประเทศที่ช่วยเหลือประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมการบริการจัดการวัคซีนของสมาพันธรัฐสวิส โดยไทยประสงค์แสวงหาความร่วมมือกับสมาพันธรัฐสวิสในด้านการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการผลิตวัคซีน mRNA และการลงทุนตั้งโรงงานผลิตวัคซีนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งพร้อมจะให้การสนับสนุนแก่บริษัทที่จะเข้ามาผลิตวัคซีนในไทย ด้านรองประธานาธิบดีฯ พร้อมขยายความร่วมมือมากขึ้นในเรื่องสาธารณสุข และยินดีแลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด และการผลิตวัคซีน
ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานร่วมกับรองประธานาธิบดีฯ ในพิธีรับมอบอุปกรณ์เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ประกอบด้วย ชุดตรวจ Antigen Test Kit จำนวน 1.1 ล้านชุด และ เครื่องช่วยหายใจ (Ventilator) จำนวน 102 เครื่อง โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณในไมตรีจิตของรัฐบาลสมาพันธรัฐสวิสสำหรับการมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ครั้งนี้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และจะสนับสนุนไทยให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีการต้อนรับ นายอิกนาซิโอ กัสซิส รองประธานาธิบดีและรมว.ต่างประเทศ สมาพันธรัฐสวิส ได้ปรากฏภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วยนายอนุทิน นายจุรินทร์ และนายวราวุธ ยืนพูดคุยกันบริเวณห้องโถงตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์บอกให้ทุกคน ร่วมกันทำงานด้วยความสามัคคีอีกด้วย
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage