ฟ
ปปง.อายัดทรัพย์ เงินฝาก 1 บัญชี ที่ดิน 1 แปลง คดีค้ามนุษย์ หลังถูก ตร.จับผู้ลักลอบขนแรงงานชาวพม่า 22 คน แฉพฤติการณ์ มีนายหน้า ทำเป็นขบวนการ พาลักลอบข้ามแดน ส่งต่อเป็นทอดๆ เข้ากรุงเทพฯ
..................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ก.พ.2564 ด้วยสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สํานักงาน ปปง.) มีคําสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ ย.33 /2564 เรื่อง ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดไว้ชั่วคราว ราย นายศิรพิบูลย์ กิตติศุภรัฐ กับพวก นําหรือพาคนต่างด้าว ชาวพม่าจำนวน 22 คน เข้ามาในราชอาณาจักรหรือกระทําการด้วยประการใด ๆ อันเป็นการอุปการะ หรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทําความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการการค้ามนุษย์ และความผิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมที่มีกฎหมายกําหนดเป็นความผิด โดยยึดและอายักทรัพย์ 2 รายการ มูลค่า 4.6 ล้านบาท ได้แก่
1. เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) สาขา ท่าแพ เลขที่บัญชี 322-263154-1ชื่อบัญชี นายบุญทวี เสาร์คํา ยอดเงินคงเหลือ 464,775.05 บาท ณ วันที่ 11 มกราคม 2564
2. ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 51735 เลขที่ดิน 2697 หน้าสํารวจ 3578 ตําบลไชยสถาน อําเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ 98 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง นายบุญทวี เสาร์คํา เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ราคาประเมินประมาณ 4,200,000 บาท ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564
ที่มาของคดีตามที่ระบุในคำสั่งดังนี้
ด้วยสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สํานักงาน ปปง.) ได้รับรายงาน จากสถานีตํารวจภูธรโกสัมพีนคร ตามหนังสือ ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 รายงานพฤติการณ์การกระทํา ความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ รายนายศิรพิบูลย์ กิตติศุภรัฐ กับพวก ได้ร่วมกันกระทําความผิดฐานร่วมกัน นําหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรหรือกระทําการด้วยประการใด ๆ อันเป็นการอุปการะ หรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์ แห่งการกระทําความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการการค้ามนุษย์ และความผิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมที่มีกฎหมายกําหนดเป็นความผิด กล่าวคือ
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2562 เจ้าหน้าที่ตํารวจสถานีตํารวจภูธรโกสัมพีนคร ได้จับกุมนายศิรพิบูลย์ กิตติศุภรัฐ ที่ได้แสดงตนเป็นผู้ขับขี่รถยนต์โดยสารไม่ประจําทาง หมายเลขทะเบียน 30-0666 สมุทรสาคร โดยมีบุคคล ต่างด้าวจํานวน 22 คน โดยสารอยู่บนรถยนต์คันดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตํารวจพบว่า บุคคลต่างด้าวเป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี จํานวน 2 คน และบุคคลอายุกว่า 18 ปี จํานวน 20 คน เดินทางเข้ามา เพื่อมาหางานทําในกรุงเทพมหานครโดยผิดกฎหมาย และจากการสืบสวนพยานหลักฐานเชื่อได้ว่านายศิรพิบูลย์ กิตติศุภรัฐ กับพวก ได้ร่วมกันกระทําความผิดโดยมีลักษณะแบ่งหน้าที่กันทํา โดยมีนายหน้าเป็นผู้ชักชวน และเรียกเก็บค่าเดินทางที่มากกว่าปกติที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา แล้วมีคนนําพาลักลอบข้ามเขตแดน เข้ามายังประเทศไทยในลักษณะเป็นเครือข่ายส่งต่อเป็นทอด ๆ ซึ่งพนักงานสอบสวนมีความเห็นว่าการกระทํา ดังกล่าวเป็นความผิดฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันค้ามนุษย์ ร่วมกันนําหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรและร่วมกันให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้ คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (2) และ (10) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายศิรพิบูลย์ กิตติศุภรัฐ กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดดังกล่าว
ในการนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 ที่ประชุมมีมติ มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดําเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ประกอบกับคําสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ ม. 332/2563 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด รายนายศิรพิบูลย์ กิตติศุภรัฐ กับพวก และคําสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ ม. 695/2563 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2563 เรื่อง มอบหมายพนักงาน เจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด (เพิ่มเติม) รายนายศิรพิบูลย์ กิตติศุภรัฐ กับพวก พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดําเนินการตรวจสอบรายงานการทําธุรกรรมหรือข้อมูลเกี่ยวกับการทําธุรกรรม ของบุคคลดังกล่าวแล้ว ปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่านายศิรพิบูลย์ กิตติศุภรัฐ กับพวก มีพฤติการณ์แห่ง การกระทําอันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3(2) และ (10) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทําความผิด มูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงิน และจากการตรวจสอบข้อมูลการทําธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับ การกระทําความผิด รวมทั้งจากการรวบรวมพยานหลักฐาน ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สิน ที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด จํานวน 2 รายการ พร้อมดอกผล และเนื่องจากทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทํา ความผิดในคดีนี้ประกอบด้วยสังหาริมทรัพย์ประเภทเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถ โอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นได้โดยง่าย และอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินตามโฉนดที่ดิน อันเป็นทรัพย์สิน ที่ปรากฏหลักฐานในทางทะเบียน ในการเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครอง โดยผู้มีชื่อเป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครอง อาจดําเนินการทางนิติกรรมโอนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิ ครอบครองในทางทะเบียนได้ หากมิได้มีการออกคําสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวไว้ชั่วคราว เมื่อเจ้าของ หรือผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีสิทธิในทรัพย์สินดําเนินการโอน จําหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สิน ดังกล่าวไปเสีย และหากต่อมาศาลได้มีคําสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน สํานักงาน ปปง. อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนมาได้ จึงเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่านายศิรพิบูลย์ กิตติศุภรัฐ กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด และอาจมีการโอน จําหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าว
https://www.amlo.go.th/amlo-intranet/images/CommandHo_2564/33-2564.pdf