นายกฯ ยืนยันตั้งแต่ มิ.ย.จะเริ่มปูพรมฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรก หลังบุคลากรแพทย์-ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังได้รับวัคซีนแล้วจำนวนหนึ่ง เล็งขยายกลุ่มเสี่ยงไปที่ รถสาธารณะ พนักงานส่งของ ธุรกิจอาหาร การท่องเที่ยว รวมถึงพนักงานขายประจำร้านสะดวกซื้อ วอนอย่าเสียเวลากับความขัดแย้ง-เฟกนิวส์
-----------------------------------------------
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ค.2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนเอกชน ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ที่เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ทั้ง 3 สถาบัน ได้แก่สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และสมาคมธนาคารไทย ที่เข้ามาช่วยให้การกระจายวัคซีนไปสู่ประชาชนรวดเร็วและทั่วถึงยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่า มิ.ย.จะเริ่มปูพรมระดมฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรก
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีเป้าหมายให้คนไทยได้ฉีดวัคซีนโควิดอย่างรวดเร็ว โดนเดือน พ.ค.นี้ กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้ฉีดเกือบครบทุกคนแล้ว เพื่อเพิ่ความปลอดภัยให้บุคลากรด่านหน้า รวมทั้งเร่งระดมฉีดให้กลุ่มเฉพาะกิจในพื้นที่ที่มีการระบาดสูง เช่น สมุทรสาคร ชุมชนคลองเตย เพื่อจำกัดวงแพร่ระบาย และตั้งเป้าเดือน มิ.ย. จะเร่งเครื่องปูพรมระดมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือกลุ่มที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง และจากนั้นจะเร่งฉีดให้ประชาชนทั่วไปทันที
"นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นต้องฉีดให้กลุ่มที่ต้องเดินทางบ่อยหรือพบปะคนจำนวนมาก เช่น พนักงานส่งของ ผู้ขับรถสาธารณะ พนักงานขายประจำร้านสะดวกซื้อ พนักงานบริการในร้านอาหาร พนักงานในภาคการท่องเที่ยวและโรงแรม หรืออยู่ในภาคธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะเริ่มตั้งแต่ มิ.ย.เป็นต้นไป" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีศูนย์ฉีดวัคซีนเอกชน 14 ศูนย์ ที่พร้อมให้บริการ และจะเพิ่มเป็น 25 ศูนย์เร็วๆนี้ และขยายโมเดลนี้ไปจังหวัดอื่นๆต่อไป ทั้งนี้ยืนยันว่า การจัดหาวัคซีนในไทยจะหาเพิ่มจาก 100 ล้านโดสเป็น 150 ล้านโดส เพื่อให้เพียงพอถึงคนไทยทุกคนและชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศ โดยได้เจรจากับผู้ผลิตแล้ว ส่วนวัคซีนล็อตใหญ่ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในไทยจะส่งมอบได้สิ้นเดือนพฤษภาคมนี้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ตนยังห่วงกลุ่มคนวัยทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำ ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางบ่อย ต้องออกจากบ้านเพราะต้องหารายได้ประจำวัน กลุ่มเหล่านี้จะได้รับผลกระทบสูง จึงได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือลงไปอาจจะได้ไม่มากนักแต่พอประทังไปได้ก่อน เพราะรัฐบาลต้องดูในเรื่องของงบประมาณเช่นกัน ขณะเดียวกันในส่วนของภาคธุรกิจ ร้านค้า ร้านอาหาร รัฐบาลก็ต้องดูแล ทางศบค. กทม. และกระทรวงมหาดไทยก็จะมีการประเมินออกมา ดูความพร้อมของร้านอาหาร ขณะนี้ขอให้ช่วยกันทำตามมาตรการของสาธารณสุขไปก่อน ถ้าสามารถร่วมมือกันได้ก็จะปลดให้ทั้งหมด ถ้าสถานการณ์คลี่คลายผู้ติดเชื้อลดลง สิ่งสำคัญคือถ้ามารวมกันจำนวนมาก แออัด ไม่ได้เลย แต่ถ้าเรามีมาตรฐานของสถานประกอบการก็จะช่วยได้เยอะ ทุกฝ่ายจึงต้องช่วยกัน ถ้าทุกคนมีความพร้อมก็เสนอเข้ามาเราจะได้พิจารณาให้ ขณะที่ ในส่วนของภาคธุรกิจรัฐบาลก็ต้องดูแล ไม่ใช่ว่าคนรวยจะได้รับการฉีดวัคซีนก่อน มันไม่ใช่ เพราะเขาต้องทำงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะต้องยกระดับเศรษฐกิจไปด้วย
"ผมเชื่อมั่นว่าวันหน้าประเทศไทย จะดีขึ้นอย่างแน่นอน หลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย เพราะเราเตรียมการขั้นสูงสุดไว้แล้ว ว่าเราจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างไร การค้าการลงทุน การเดินทางมาจากต่างประเทศ เอาคนจากต่างประเทศมาทำงานในประเทศไทย เราต้องเปลี่ยนแปลงแนวคิดทั้งหมด แล้วประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงได้ในทางที่ดี วันนี้รัฐบาลยินดีและขอบคุณ พร้อมที่จะร่วมมือกับหน่วยรับบริการต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชน ถ้าเราสามารถฉีดวัคซีนได้รวดเร็วขึ้น ก็จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไปด้วย แต่สิ่งที่ยังมีความเป็นห่วงคือ ครอบครัว ลูก พ่อแม่ คนชรา เพราะสามารถติดเชื้อได้หมด แต่มันก็รักษาได้ถ้าทันเวลา ทุกอย่างต้องเชื่อฟังหมอสงสัยก็ต้องรีบมาหา"นายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้เรามีศูนย์ฉีดวัคซีนเอกชนแล้ว 14 แห่ง ที่พร้อมให้บริการ และจะเพิ่มเป็น 25 แห่งในเร็วๆนี้ โดยจะขยายโมเดลนี้ไปยังจังหวัดอื่นๆต่อไปไม่เช่นนั้นจะเกิดความแออัด เพราะวัคซีนเข้ามามากก็จะไปได้ทั้งหมด ซึ่งเดือนหน้าก็คงจะดีขึ้น ในส่วนการจองวัคซีนวันนี้อาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง พอสมควร เรากำลังปรับปรุงแอปพลิเคชันหมอพร้อม เพราะบางทีหมอพร้อมท่านก็ไม่พร้อม เพราะเข้ากันไปทีเดียวพร้อมกัน จึงขอให้ฟังการชี้แจงจากทางการด้วย ไม่ใช่วันแรกต่างคนต่างเข้าไปก็ล่มทั้งหมด ขอร้องว่าอย่าตื่นตระหนก ระวังตัวเองไว้ก่อน ใส่หน้ากากล้างมือ ติดตามสถานการณ์ตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ หรือไปพบแพทย์ วันนี้ถือว่าดีขึ้นและขอยืนยัน ว่าทั้งตน กระทรวงสาธารณสุข รัฐบาล จะหาวัคซีนได้เพียงพอ ให้ทั่วถึงคนไทยทุกคนรวมทั้งคนต่างชาติในประเทศไทยด้วย เพราะทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยถือว่าเป็นคนไทย ไม่ว่าจะเป็นทูต แรงงานต่างด้าว ถือว่าเขามาสร้างเศรษฐกิจให้เรา ขอให้นึกถึงด้วย ตนยินดีที่จะร่วมมือกับทุกฝ่าย เพื่อปกป้องคนไทยทุกคนให้พ้นจากโควิด
"วันนี้อาจจะมีข่าวสายพันธุ์เก่าสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขทราบอยู่แล้ว มีการควบคุม มีมาตรการอย่างรัดกุม เข้มงวดในการเข้าออกด่านตามแนวชายแดน รวมทั้งสายการบิน เมื่อมีข่าวเราก็หยุดคนที่เจอก็นำเข้ามารักษา ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพันธุ์ใดก็แล้วแต่ ไม่ต้องกังวล ทั่วโลกก็เจอเหมือนกัน แต่ถ้าเรามีระบบบริหารจัดการที่ดีพอ คิดว่าเราทำได้ดีพอสมควร ถือว่าเป็นระดับที่ดี หลายคนอาจจะบอกว่ายังไม่ดีมาก วันนี้เราต้องช่วยกันทำงานแข่งกับเวลา ไม่รอท่าใคร ในทุกเรื่องอย่าเสียเวลากับความขัดแย้ง อย่าเสียเวลากับเฟกนิวส์ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปได้ยาก ก็ขอร้องแล้วกัน ซึ่งเดือนหน้าเราจะเร่งให้เร็วที่สุด จะปูพรมฉีดให้ทั่วถึงทุกคน ทุกคนที่มาวันนี้บริหารร่วมงานกับผม การทำงานต้องรับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน นายกรัฐมนตรีถึงแม้จะมีอำนาจ แต่ก็ต้องฟังหมอ จะฟังใครได้ถ้าไม่ฟังหมอ เพราะนายกรัฐมนตรีไม่ได้จบหมอมา แต่นายกรัฐมนตรีบริหารได้ ผ่านทางรัฐมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด อย่ารังเกียจซึ่งกันและกันเลยเราคือคนไทยด้วยกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นวันนี้เราต้องต่อสู้โควิดไปด้วยกัน เพื่อชาติและประชาชน เพื่อชาติและประชาชนของเรา ทุกกลุ่มทุกฝ่ายไม่ว่าจะใครก็ตามเราต้องดูแลเขาทั้งสิ้น รัฐบาลแยกไม่ได้เราไม่แบ่งแยกใคร ขอร้องสื่อต้องช่วยกันดู ถ้าเป็นข่าวที่มันไม่ใช่ข้อเท็จจริง พวกคุณก็รู้อยู่ ขอร้องอย่าไปขยายข่าวให้เขาเหล่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่จบ คนที่จะมาฉีดก็ไม่กล้ามาฉีด "นายกฯกล่าว
เมื่อถามว่า จะมีการปรับระบบการฉีดวัคซีนหรือไม่เพราะขณะนี้มีการกระจายไปทั่วไม่ได้อยู่เฉพาะกลุ่มบุคคลแล้ว นายกฯกล่าวว่า "ฉีดเมื่อพร้อม"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว เป็น 1 ใน 14 ศูนย์ฉีดวัคซีนเอกชน หรือ ศูนย์ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล ที่สามารถให้บริการได้ 1,000 คนต่อวัน โดยเปิดให้บริการตั้งแต่ 08.00 - 17.00 น. โดยกลุ่มเป้าหมายแรกที่ให้บริการในขณะนี้คือ บุคลากรด่านหน้าที่ต้องปฏิบัติงานในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค และกลุ่มที่มีอาชีพเสี่ยงที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมาก ซึ่งได้รับการลงทะเบียนกับสำนักอนามัย กทม.ไปก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ กทม.และภาคเอกชน ยังมีแผนที่จะขยายจุดฉีดวัคซีนเพิ่มเติมจาก 14 จุดเป็น 25 จุด ซึ่งแต่ละแห่งมีศักยภาพรองรับการให้บริการประมาณ 1,000 - 3,000 คนต่อวัน หรือรวมทั้งหมด 38,000 - 50,000 คนต่อวัน โดยทุกแห่งจะเปิดให้บริการต่อเนื่อง 7 เดือนเพื่อให้บริการวัคซีนเป็นไปอย่างทั่วถึงและรวดเร็วอีกด้วย
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/