นายกฯ ปรับแผนลุยฉีดวัคซีนเข็มแรกให้คนไทยได้รับมากที่สุด คาด ก.ค.นี้ ประชากรผู้ใหญ่ครึ่งประเทศต้องได้รับวัคซีน พร้อมสั่งจัดหาเพิ่มเป็น 150-200 ล้านโดส ระบุที่ผ่านมาเจรจาผู้ผลิตแล้ว 7 ราย พร้อมย้ำ อย.ดูเรื่องการขึ้นทะเบียนให้เร็วขึ้น
---------------------------------------------
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวผ่านรายการ PM PODCAST นายกรัฐมนตรีเล่าเรื่อง ที่เผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก ไทยคู่ฟ้า ถึงการเดินหน้าแก้ปัญหาโควิด ว่า วันนี้อยากพูดอีกครั้งถึงการตัดสินใจในภาพใหญ่บางเรื่องเกี่ยวกับการจัดการปัญหาโควิดในประเทศไทย ส่วนตัวคิดว่าการจัดการปัญหาที่เร็วและแบบบูรณาการคืออาวุธที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหา ทั้งนี้สถานการณ์ภาพรวมที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้เห็นว่าสถานการณ์ไม่น่าจะหายไปจากโลกนี้ได้โดยเร็ว จึงจำเป็นต้องเตรียมการรับมือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สิ่งที่เราต้องทำเรื่องแรก คือเพิ่มจำนวนวัคซีนในมือให้มากขึ้น โดยได้สั่งการให้หาวัคซีนเพิ่มขึ้นเป็น 150 ล้านโดส หรือมากกว่านั้น แม้ว่าบางส่วนจะส่งมอบให้เราช่วงปีหน้าก็ตาม เพื่อเตรียมการรับความเสี่ยงเรื่องวัคซีนต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่ออีกว่า ปัจจุบันเราตั้งเป้าไว้เดิม คือ สั่งซื้อวัคซีน 100 ล้านโดส เพื่อให้เพียงพอต่อการฉีดให้กับประชากร 50 ล้านคน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ แต่คิดว่าเท่านั้นยังไม่พอ หากเราฟังสถานการณ์ทั่วโลก ยังไม่มีความชัดเจนว่า การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่กับไวรัสตัวนี้จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ และจะเกิดขึ้นเมื่อไร ตนยังมีความกังวลในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามวันนี้ได้รับคำยืนยันจากทั่วโลกแล้วว่า ฉีดดีกว่าไม่ฉีด ฉีดเข็มเดียวก็ดีกว่าไม่ฉีด ดังนั้นควรจะต้องมีวัคซีนให้เพียงพอสำหรับคนไทยทุกคน ซึ่งประเทศไทยมีประชากรผู้ใหญ่ 60 ล้านคน เท่ากับว่าต้องมีวัคซีนอย่างน้อย 120 ล้านโดส รวมถึงต้องคำนึงถึงแรงงานอื่นๆ ที่อยู่ในภาคธุรกิจของเรา นอกจากนั้นเราต้องมีวัคซีนเผื่อไว้เพียงพอสำหรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอื่นๆ อาจจะต้องมีวัคซีนไว้ 150-200 ล้านโดสในระยะต่อไป แต่ต้องคำนึงถึงอายุการใช้งานของวัคซีนและคำนึงถึงสถานการณ์ในปีหน้าอีกด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนั้นต้องเตรียมความพร้อมเผื่อสำหรับความเสี่ยงอื่นๆ เช่น การส่งมอบวัคซีนที่อาจจะมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ทั้งเรื่องส่งมอบไม่ครบจำนวน การส่งมอบล่าช้ากว่าที่ตกลงกันไว้ สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้วกับหลายประเทศทั่วโลก ล่าสุดหลายประเทศชั้นนำทั่วโลกคาดการณ์ว่า ช่วงเวลานี้อาจได้รับวัคซีนน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนที่เขาสั่งไว้ ซึ่งเป็นข้อมูลจากต่างประเทศ แต่เราโชคดีที่มีการผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในไทย ทั้งนี้ส่วตัวคิดว่ามีวัคซีนให้เกินไว้ดีกว่าขาด มีแผนหลัก แผนรอง แผนเผชิญเหตุ เป็นสิ่งที่ต้องคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม เวลานี้ได้สั่งการให้หน่วยงานทำงานเชิงรุกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การเจรจาสั่งซื้อวัคซีนมีความคืบหน้าที่เร็วกว่านี้ ให้เจรจากับผู้ผลิตหลายรายเพิ่มขึ้น โดยได้เจรจากับผู้ผลิตแล้ว 7 ราย และกำลังเจรจาเพิ่มเติมอีก รวมถึงวัคซีนจากผู้ผลิตรายใหม่ๆด้วย โดยต้องเป็นไปตามขั้นตอนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ต้องพิจารณาให้เร็วขึ้น
"ในขณะที่ทั้งโลกกำลังแย่งกันสั่งซื้อวัคซีนให้กับตัวเอง ทั้งนี้มันก็ไม่ง่ายนัก ขึ้นอยู่กับสิทธิบัตรของบริษัทผู้ผลิต ขีดความสามารถของเขา รัฐบาลของเขาด้วยที่จะอนุมัติให้ดำเนินการส่งออก ทำให้การจัดหาและสั่งซื้อวัคซีนเป็นเรื่องยากลำบากพอสมควร แต่เราต้องหาทางทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ล่าสุดสัปดาห์ที่แล้ว เราได้รับการยืนยันว่าจะได้วัคซีนเพิ่ม 3.5 ล้านโดสที่จะส่งมอบให้ไทยในเดือนนี้ ที่ถือว่าเพิ่มขึ้นจากยอดเดิมที่เคยกำหนดไว้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า การตัดสินใจในภาพใหญ่อีกเรื่อง คือการปรับแนวทางการฉีด เร่งเครื่องการฉีดวัคซีนเข้ฒแรก ให้ความสำคัญกับการฉีดเข็มแรกให้กับประชาชนจำนวนมากที่สุด เนื่องจากทางการแพทย์มีความเห็นในทางเดียวกันว่า หลังจากได้รับวัคซีนแม้แต่เพียงเข็มแรก ก็จะสามารถช่วยลดโอกาสการรับเชื้อ ลดความรุนแรงของอาการ ลดโอกาสเสียชีวิตไปได้อย่างมาก แม้จะมีผลข้างเคียงอยู่บ้างก็ดำเนินการแก้ไขต่อไป ดังนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ขอให้ทุกคนร่วมมือกัน เร่งเครื่องเดินหน้าให้เร็ว ปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ได้มากที่สุด ประมาณเดือน ก.ค.2564 คาดการณ์ว่าจะมีประชากรผู้ใหญ่ครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว และได้รับการป้องกันจากอันตรายของโควิดในระดับที่มากพอสมควร
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage