‘บิ๊กตู่’สั่งปราบเฟกนิวส์! ให้ดีอีเอสแม่งานตรวจสอบ แจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมช่วงโควิด-19 ถ้าพบจงใจสร้างความสับสนให้เอาผิดตามกฎหมาย เผยยังมีคนพยายามโจมตี-ดิสเครดิต รบ.โดยอาศัยข้อมูลไม่ครบ-ข้อมูลเท็จ นายกฯวิงวอนขอให้คำนึงถึงผลกระทบกับประชาชน ลดความขัดแย้ง ทำให้เกิดบรรยากาศร่วมมือร่วมใจกัน
.............................................
เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แสดงความห่วงใยประชาชนเกี่ยวกับการรับข้อมูลข่าวสารในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยพบว่า มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ และข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงจำนวนมาก โดยเฉพาะในสื่อออนไลน์ ก่อให้เกิดความสับสน ตื่นตระหนก และเข้าใจผิดเกี่ยวกับกรณีต่าง ๆ ดังนั้นขอให้ประชาชนระมัดระวังเลือกรับข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งต่อ แชร์ข้อมูล เพื่อช่วยลดปัญหาข่าวปลอม ไม่เป็นการสนับสนุนกระบวนการผลิตข่าวปลอมที่สร้างความสับสนแก่คนในสังคม
น.ส.ไตรศุลี กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีต้องการให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง จึงกำชับให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ตรวจสอบข่าวสารอันเป็นเท็จ พร้อมแจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม รวมถึงชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง หากพบกรณีจงใจสร้างความสับสนแก่ประชาชน ให้ดำเนินการเอาผิดตามกฎหมาย นอกจากนี้หน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวง กรม ส่วนราชการต่าง ๆ ยังมีหน้าที่ตรวจสอบข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานตนเอง และชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงข้อมูลที่ถูกต้องด้วย
รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ยังพบหลายกรณีที่พยายามโจมตีและดิสเครดิตรัฐบาล โดยอาศัยข้อมูลเพียงบางส่วน ไม่ครบถ้วน และข้อมูลเท็จ ฉวยโอกาสโจมตีรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นวัคซีน การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ นายกรัฐมนตรี ขอวิงวอนกลุ่มคนที่กระทำการดังกล่าว ให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนจากการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือไม่ครบถ้วน ขอให้ทุกฝ่ายลดความขัดแย้ง ช่วยกันทำให้เกิดบรรยากาศของความร่วมมือร่วมใจกัน เพื่อที่สถานการณ์โควิด-19 จะได้คลี่คลายลงโดยเร็ว
ด้าน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงกลุ่มเฟซบุ๊ก 'ย้ายประเทศกันเถอะ' ที่กำลังเป็นกระแสในสังคมออนไลน์ขณะนี้ว่า ดีอีเอสได้รับการร้องเรียนถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าวมาเช่นกัน โดยผู้ร้องเรียนระบุว่า มีเนื้อหาสร้างความแตกแยกสร้างความเกลียดชัง และยังมีการแสดงความคิดเห็นเข้าข่ายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย อย่างไรก็ตาม เท่าที่ติดตามเบื้องต้นพบว่า เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงแนะแนวการศึกษา และแนะนำแนวทางประกอบอาชีพในต่างประเทศ ซึ่งจริงๆก็เป็นเรื่องที่ดี และหน่วยงานภาครัฐเองก็มีการให้ข้อมูล และให้การสนับสนุนผู้ที่มีความพร้อมมาโดยตลอดอยู่แล้ว ทั้งในแง่การไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงการต่างประเทศ เช่นเดียวกับการประกอบอาชีพที่มี กระทรวงแรงงาน เป็นผู้กำกับดูแล
“เท่าที่ติดตามหลายๆโพสต์ก็เป็นเรื่องแนะแนวการศึกษา และการใช้ชีวิตในต่างประเทศ ที่แฝงด้วยประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะสมาชิกกลุ่มบางคนที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศก็มีพฤติกรรมชังชาติอยู่แล้ว ก็มีวัตถุประสงค์แอบแฝงเพื่อสร้างความแตกแยก และหมิ่นสถาบันเบื้องสูง กระทรวงดีอีเอสมีคณะทำงานเพื่อตรวจสอบและติดตามการกระทำความผิดในสังคมออนไลน์อยู่แล้ว ก็ได้กำชับไปให้ตรวจสอบดูว่ามีเนื้อหาที่ผิดกฎหมายหรือไม่ หากพบก็จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด” นายชัยวุฒิ กล่าว
นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า หากเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการศึกษาหรืออาชีพในต่างประเทศ รัฐบาลคงไม่ปิดกั้น เพราะถือเป็นสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีความเป็นห่วงในบางข้อความที่ไม่เหมาะสม เช่น การแนะนำวิธีลักลอบเข้าเมือง หรือการอาศัยอยู่เกินกำหนดอย่างผิดกฎหมายหรือที่เรียกว่าโดดวีซ่า ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และอาจจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงการพิจารณาให้วีซ่าคนไทยของประเทศปลายทางในอนาคตด้วย ที่สำคัญยังเป็นห่วงว่า กลุ่มดังกล่าวอาจเป็นช่องทางของขบวนการมิจฉาชีพที่ใช้สังคมออนไลน์หลอกลวงให้มีการไปทำงานต่างประเทศที่ระบาดอย่างหนักในระยะหลัง โดยทราบจากสถิติของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ว่าช่วงปี 2561-2563 ได้รับเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับการหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศแล้วมากกว่า 1,500 เรื่อง ดังนั้นผู้ที่สนใจควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ไม่หลงเชื่อขบวนการเหล่านี้
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage