เผยความคืบหน้าคดีกล่าวหา 'ชาญชิต พิทักษ์พลรัตน์' อดีตเจ้าหน้าที่การเงินบัญชี 5 สำนักงานประชาสงเคราะห์ จ.ชัยภูมิ ยักยอกเงินโครงการเงินผู้ถูกเลิกจ้างว่างงานเงินกองทุนประกอบอาชีพ -เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จำนวน 9,279,525 บาท ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว หลังโดนจับสดคาตลาดอ้างสาบสูญช่วงปลายปี 62 ล่าสุด ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบภาค 3 พิพากษาลงโทษ จำคุก 20 กระทง 100 ปี ปรับ 800,000 บาท รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 50 ปี ปรับ 400,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอการไว้มีกำหนด 5 ปี -ป.ป.ช. เสนอ อสส. อุทธรณ์ขอไม่รอการลงโทษ
.................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าคดีกล่าวหา นายชาญชิต พิทักษ์พลรัตน์ อดีตเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี 5 สำนักงานประชาสงเคราะห์ จ.ชัยภูมิ ยักยอกเงินโครงการเงินผู้ถูกเลิกจ้างว่างงานเงินกองทุนประกอบอาชีพ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จำนวน 9,279,525 บาท ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว
ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 157 และ 161 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 ก.ค.2552 ที่ผ่านมา
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 มีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 147 ลงโทษ จำคุก 5 ปี และปรับ 40,000 บาท รวม 20 กระทง เป็นจำคุก 100 ปี และปรับ 800,000 บาท
จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 50 ปี และปรับ 400,000 บาท
โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 5 ปี คำขออื่นจากนี้ให้ยก
อย่างไรก็ดี สำหรับคดีนี้ ยังไม่สิ้นสุด จำเลย มีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2563 มีมติเห็นควรเสนอให้อัยการสูงสุด (อสส.) อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 เพื่อให้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ไม่รอการลงโทษ
สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
สำหรับคดีของ นายชาญชิต พิทักษ์พลรัตน์ นั้น สำนักข่าวอิศรา เคยนำเสนอข่าวในช่วงเดือนธันวาคม 2562 ว่า นายสุทธิ บุญมี ผอ.สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ เข้าจับกุมนายชาญชิต พิทักษ์พลรัตน์ อดีตเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี 5 สำนักงานประชาสงเคราะห์ จ.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดชัยภูมิ เมื่อปี 2554 คดีเบียดบังเงินของทางราชการจำนวน 9.2 ล้านบาท
นายสุทธิ บุญมี กล่าวว่า นายชาญชิต พิทักษ์พลรัตน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี 5 สำนักงานประชาสงเคราะห์ จ.ชัยภูมิ ได้เบียดบังเงินของทางราชการจำนวน 9.2 ล้านบาท ไปเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือผู้อื่นโดยทุจริต เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติชี้มูลความผิดทางอาญา ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสาร หรือดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น และมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 157 และมาตรา 161
อย่างไรก็ดีนายชาญชิต ไม่ไปรายงานตัวต่อพนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดีต่อศาล คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงขอให้ศาลที่มีเขตอำนาจออกหมายจับ และศาลจังหวัดชัยภูมิได้ออกหมายจับ ที่ 9/2554 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 อย่างไรก็ตามจากการสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวนายชาญชิต ผู้ต้องหาตามหมายจับ ปรากฏว่านายชาญชิต ถูกศาลจังหวัดชัยภูมิสั่งให้เป็นบุคคลสาบสูญ ตั้งแต่ปี 2554 โดยผู้ยื่นคำร้องต่อศาลคืออดีตภริยา แต่เจ้าหน้าที่สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษยังไม่ปักใจเชื่อว่านายชาญชิต จะเป็นบุคคลสาบสูญจริงจึงเริ่มกระบวนการสืบสวนเชิงลึก หาพยานหลักฐานว่านายชาญชิต ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ จนได้ข้อมูลและเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารแห่งหนึ่งที่นายชาญชิต ยื่นคำขอเปิดบัญชีร่วมกับภรรยาคนปัจจุบัน (ไม่ได้จดทะเบียนสมรส) เมื่อปี 2560 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากศาลมีคำสั่งให้นายชาญชิต เป็นบุคคลสาบสูญ
ต่อมาสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ ได้ดำเนินการสืบสวนหาตัวนายชาญชิต โดยเริ่มจากที่อยู่ตามคำขอเปิดบัญชีธนาคาร และต่อมาทราบว่าที่อยู่ดังกล่าวเป็นบ้านของภรรยาคนปัจจุบัน ซึ่งเสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2560 แต่นายชาญชิต ยังคงครอบครองและอยู่อาศัยเรื่อยมา นอกจากนี้ยังปรากฏว่านายชาญชิต ได้ครอบครองรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน ตง 0297 ที่มีชื่อภรรยาคนปัจจุบันซึ่งเสียชีวิตแล้ว เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และใช้เป็นยานพาหนะในการประกอบธุรกิจขายของชำ เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ โดยมักจะไปเลือกซื้อของจากตลาดสี่มุมเมือง ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานีเป็นประจำ สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษจึงได้วางแผนปฏิบัติการลงพื้นที่ และสนธิกำลังร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ เข้าทำการจับกุมผู้ต้องหา ณ ตลาดสดแห่งหนึ่งในตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี โดยจะนำตัวนายชาญชิต ผู้ต้องหาตามหมายจับส่งให้พนักงานอัยการเพื่อฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage