'อนุดิษฐ์' ชู 3 นิ้ว เปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาล จี้ยุติความรุนแรงหรือคุกคามเยาวชน-นักเคลื่อนไหวทางการเมือง พร้อมขอตั้ง สสร.เดินหน้าแก้ รธน.อย่างจริงใจ ด้าน 'พิธา' ชี้เด็กมาชุมนุม เพราะนายกฯ บริหารล้มเหลว แนะให้ลงจากอำนาจ คืนอนาคตให้ประเทศ ขณะที่ 'บิ๊กตู่' ขออย่าแยกทหารออกจากประชาชน ย้ำทหารไทยไม่ได้มีแค่ปฏิวัติ แต่ทำทุกอย่างเพื่อป้องกันประเทศ รวมถึงรับมือภัยพิบัติและโควิดด้วย
--------------------------------------------------------
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า สภาผู้แทนราษฎร เปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเป็นการอภิปรายแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 แห่งรัฐธรรมนูญ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมเข้าร่วมประชุมพร้อมกับรัฐมนตรี อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายก, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.การคลัง, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม, นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ และนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษาฯ ซึ่งวันนี้ได้กำหนดเวลาการอภิปรายไว้ตั้งแต่เวลา 09.30 - 24.00 น.
โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำเสนอญัตติอภิปรายต่อที่ประชุม กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่เชื่อว่าจะได้รับการขนานนามว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำให้มีม็อบก่อตัวมากที่สุด ทั้งนี้ได้ข้อเรียกร้องให้มีการยกเลิกหมายจับเยาวชน นักเคลื่อนไหวทั่วประเทศ รวมถึงยุติการคุกคามและปิดกั้นแสดงความเห็น และขอให้รัฐบาลเปลี่ยนเป็นคุ้มครองและรับฟังนักเคลื่อนไหว ขณะเดียวกันการกู้ยืมเงินของรัฐบาล ได้สร้างปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ เกิดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะล้มละลาย และความสูญเสียศักยภาพทางเศรษฐกิจ นอกจากนั้นปัญหาด้านเศรษฐกิจก็ยังมีผลสืบเนื่องจากการไม่เคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอีกด้วย
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้เราเกิดในยุคที่ครูต้องลงโทษเด็กที่ติดริบบิ้นสีขา เกิดในยุคที่ตำรวจเข้าไปกดดันครู โรงเรียนกลายเป็นสถานที่ไม่ปลอดภัย ไม่มีใครอยากให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเปลี่ยนประวัติศาสตร์หน้าที่ให้มันจบในสภาที่รุ่นเรา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงหนึ่งของการอภิปราย น.อ.อนุดิษฐ์ ได้ขออนุญาตต่อที่ประชุมสภา พร้อมชู 3 นิ้ว และกล่าวว่า “วันนี้ขออนุญาตทำหน้าที่ ส.ส.เพื่อไทย ซึ่งทุกคนเป็น ส.ส.เขตมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด จะขอชูสามนิ้ว เป็นคำมั่นสัญญาปฏิญาณต่อหน้าคนไทยทั้งประเทศ ว่าจะขอคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน เราจะใช้รัฐสภาแห่งนี้ แก้ไข รธน.เพื่อหาทางออกของประเทศ ขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐยุติความรุนแรง ยุติการคุกคาม ยุติการออกหมายเรียก และยุติรัฐธรรมนูญ (รธน.) เผด็จการ ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) คืนอำนาจให้กับประชาชน และขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันเดินหน้าแก้ รธน.กันอย่างจริงใจ เพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุของปัญหา และเป็นข้อเรียกร้องหลักของการเคลื่อนไหวชุมนุมของเยาวชนนักเคลื่อนไหว”
ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.ก้าวไกล อภิปรายว่า ประเทศไทยมีรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ และมี รธน.ที่บิดเบี้ยว ภาวะเศรษฐกิจรุนแรงกว่ายุคต้มยำกุ้ง เป็นมหาวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้คนหนุ่มสาวออกมาชุมนุม เป็นการปะทะกันระหว่างคนที่มีความหวังกับประเทศที่สิ้นหวังทางเศรษฐกิจ และจากการสำรวจกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดว่าไทยจะมีตัวเลขคนว่างงานเพิ่มขึ้น 5 เท่าในช่วงสิ้นปีนี้ และอยู่ในลำดับบ๊วยของเอเชีย ขณะที่ รธน.ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาสังคม แต่ทำหน้าที่เฉพาะกิจ สืบทอดอำนาจให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่นานที่สุด รัฐบาลสาละวนอยู่กับการแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรี สภาก็ป้อนกล้วยให้งูกิน ประเทศเดินไร้ทิศทาง แต่เมื่อประชาชนออกมาเดินขบวนเรียกร้อง กลับถูกคุกคามเสรีภาพ เพื่อให้เกิดความกลัว ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง แต่ผลอาจออกมาตรงกันข้าม เพราะไม่รู้ว่าจะต้องไล่จับนักเรียน นักศึกษาอีกเท่าไร
“วันนี้กระแสรัฐประหารดังขึ้น ถามว่าท่านจะกล้าหันกระบอกปืนเข้าหาประชาชนหรือไม่ จะยอมให้เหตุการณ์ในอดีตอย่างตุลาคมปี 2519 หรือ พฤษภาทมิฬปี 2535 หรือเหตุการณ์ล้อมปราบเสื้อแดงปี 2553 เกิดขึ้นอีกหรือไม่ หวังว่านายกรัฐมนตรีคงไม่ขาดสติ นำประเทศไปจุดนั้นอีก เพราะการทำรัฐประหารหรือการคุกคาประชาชน ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่เป็นการแช่แข็งประเทศ ฉุดรั้งอนาคต วันนี้ต้องยอมรับว่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่การชุมนุมไปถึงระดับนักเรียน ขอให้เลิกดูถูกเด็กว่าถูกล้างสมอง มีคนอยู่เบื้องหลัง เพราะคนอยู่เบื้องหลังตัวจริงคือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ปลุกให้เด็กตื่นขึ้นจากความล้มเหลวของการบริหารประเทศ ขอให้ลงจากอำนาจ คืนอนาคต ก่อนที่ประเทศจะย่อยยับเกินกว่าจะชดใช้ไหว” นายพิธา กล่าว
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า วันนี้ขอพูดกับประชาชนไปด้วยว่ารัฐบาลและตนเองได้ยึดมั่นคำสัตย์ปฏิญาณของพวกเรา คือทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน หลายอย่างมีคำกล่าวว่าเป็นความคิดเห็นของคนไทยทั้งประเทศ วันนี้ได้มีการแยกแยะกันมาแล้วว่า คนไทยมีทั้งหมด 66.53 ล้านคน เป็นคนอายุระหว่าง 0-14 ปี จำนวน 11 ล้านคน , อายุ 15-25 ปี จำนวน 9.6 ล้านคน อายุระหว่าง 26-35 ปี จำนวน 9 ล้านคน อายุ 36-45 ปี จำนวน 10 ล้านคน อายุ 46-55 ปี จำนวน 10 ล้านคน อายุ 55-65 ปี จำนวน 8 ล้านคน และคนอายุ 65 ปีขึ้นไป 7 ล้านคน นี่คือประชากรคนไทยทั้งประเทศ อีกส่วนที่แยกมาให้เห็นคือ วันนี้เรามีนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 2.24 ล้านคน หรือ 23% ส่วนนักศึกษาปริญญาตรีมีจำนวน 1.53 ล้านคน หรือ 16% นี่คือคำว่าคนไทยทั้งประเทศก็จำเป็นต้องทำงานให้สอดคล้องการดูแลคนเหล่านี้ การทำให้ทุกคนมีความสุขพอใจเป็นเรื่องยาก แต่ไม่เกินความพยายามของพวกเรา เพราะเราได้ทำให้สอดคล้องความต้องการของทุกฝ่าย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วย ว่าตนเองก็มีความห่วงใยในสถานการณ์ภายในประเทศปัจจุบันทั้งเรื่องโควิด เศรษฐกิจ และอื่นๆอย่างเป็นที่สุด พวกเราจะพยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ช่วยดูแลแก้ไข ให้กลับคืนฟื้นสู่ปกติโดยเร็ว แม้ว่าเราจะมีอุปสรรคอยู่บ้างก็ตาม แต่ยังคงมีความเพียรพยายามเหล่านี้ เพราะเรานึกถึงชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน เราจำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยความรอบอคบ ส่วนที่มีการกล่าวอ้างว่ารัฐบาลไม่เคยถูกตรวจสอบสมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าใจผิดหรือไม่ เพราะทุกกลไกทำงานอยู่ทุกประการ มีคำชี้แจง คำทักท้วง แม้กระทั่งศาล ไม่เคยไม่มีการตรวจสอบ
“อีกเรื่องหนึ่งผมฟังมาหลายครั้งแล้ว ขออย่ารังเกียจทหารมากนัก เพราะคือลูกหลานของท่าน ให้เขาภาคภูมิใจในการทำงานของเขาเถอะ เขาทำงานด้วยความเสียสละ หลายคนเคยเป็นทหารมาก่อน แต่คิดว่าไม่ประสบความสำเร็จในวงการทหาร จึงโจมตีวงการทหารด้วยกันอยู่เรื่อย แต่อะไรที่เป็นประโยชน์ก็รับฟังได้ และขออย่าแยกทหารออกจากประชาชน เพราะวันนี้มีหน้าที่หลายอย่าง ไม่ใช่จะบอกว่าทหารไทยไม่ได้มีแต่ปฏิวัติ แต่ทุกวันนี้ทหารทำงานเพื่อประชาชนทั้งการป้องกันประเทศ การป้องกันภัยพิบัติ การป้องกันโควิด ขอให้ทุกคนร่วมมือกัน อย่าสร้างความเกลียดชังต่อไปเลย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า เรื่องของเด็กๆ ตนไม่เคยมีปัญหากับเขา มีแต่คนที่เขาทำให้มีปัญหากับตน สักวันคงรู้ว่ามีใครบ้างที่ไปยุ่งเกี่ยวตรงนั้น ก็อย่าให้ลุกลามบานปลายไปทั้งสิ้น ประเทศไทยต้องสงบให้มากที่สุดในช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาสำคัญที่เศรษฐกิจกำลังมีปัญหา และไม่ได้อ้างเรื่องนี้มาปกปิดเรื่องอื่น ขอกราบเรียนด้วยความสัตย์จริง
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/