‘มึนอ’ ภรรยาของ 'บิลลี่ พอละจี' ร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด หลังดีเอสไอเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องอดีตหัวหน้าอุทยานฯแก่งกระจานและพวกในคดีหายตัวไปของสามี เมื่อปี 57
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 27 ส.ค. นางสาวพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมึนอ ภรรยาของ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ กระเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอยแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปเมื่อ 17 เม.ย.2557 พร้อมด้วย น.ส.วราภรณ์ อุทัยรังษี ทนายความจากสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และชาวกะเหรี่ยง จ.เพชรบุรี กว่า 50 คน เข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการสูงสุด หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งความเห็นแย้งอัยการควรสั่งฟ้องผู้ที่เกี่ยวข้อง 4 ราย เกี่ยวกับกรณีการหายตัวไปของนายบิลลี่ โดยมีนายวรวุฒิ วัฒนอุตถานนท์ อัยการผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ เป็นผู้รับหนังสือ
น.ส.วราภรณ์ กล่าวว่า หลังจากดีเอสไอทำความเห็นแย้งการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา และพวก 4 ราย ประกอบด้วย นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร, นายบุญแทน บุษราคัม, นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และ นายกฤษณพงษ์ จิตต์เทน ทางภรรยาของนายพอละจี ในฐานะผู้เสียหายได้ปรึกษาทีมทนายแล้วจึงทำหนังสือขอความเป็นธรรมอัยการสูงสุดใน 5 ประเด็นคือ พยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนฟังได้หรือไม่ว่ามีการควบคุมตัวนายพอละจี โดยยังไม่ได้มีการปล่อยตัวบิลลี่ตามที่ผู้ต้องหากล่าวอ้าง และหลังจากนายพอละจีถูกควบคุมตัวจนดีเอสไอค้นพบชิ้นส่วนกะโหลกของบิลลี่ในอุทยานฯแก่งกระจานจึงไม่มีข้อเท็จจริงใดชี้ให้เห็นว่าบิลลี่น่าจะยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนี้การตรวจพิสูจน์ด้วยวิธีไมโตรครอนเดียมีความน่าเชื่อถือเพียงพอที่จะสรุปว่า ชิ้นส่วนกะโหลกมนุษย์ที่พบเป็นของบิลลี่ และพิสูจน์ได้ว่า บิลลี่ได้เสียชีวิตแล้ว ส่วนข้อโต้แย้งขออัยการเป็นเพียวความเห็นส่วนตัว โดยที่มีรายงานการตรวจพิสูจน์ พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ให้ความเห็นเป็นอย่างอื่น นอกจากรายงานในสำนวนการสอบสวน
น.ส.วราภรณ์ กล่าวอีกว่า พยานหลักฐานของดีเอสไอเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าผู้ต้องหาทั้ง 4 รายมีเหตุผลและสาเหตุจูงใจน่าเชื่อว่า ได้กักขังหน่วงเหนี่ยวและร่วมกันทำให้บิลลี่เสียชีวิต เนื่องจากเคยโกรธเคืองกันมาก่อนเพราะบิลลี่เคยรวบรวมพยานหลักฐานในส่วนของการกระทำผิดอื่นที่ทำให้ผู้ต้องหาอาจจะได้รับโทษคดีอาญา และสำหรับพยานหลักฐานเบื้องต้นที่รวบรวมพอจะยืนยันได้ว่า นายบิลลี่ถูกผู้ต้องหาที่ 1 และพวกควบคุมตัวไว้อย่างต่อเนื่องจนต่อมาพบว่าบิลลี่เสียชีวิต และประกอบกับพฤติการณ์แวดล้อมและมูลเหตุจูงใจเกี่ยวกับกรณีพิพาทที่ผู้ต้องหาที่ 1 มีเหตุโกรธแค้นกับบิลลี่จึงเชื่อได้ว่าการเสียชีวิตของบิลลี่กิดจากการกระทำโดยจงใจของผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ต้องหาที่ 1
“จากเหตุผลดังกล่าวจึงขอให้อัยการสูงสุดใช้ดุลพินิจมีคำสั่งชี้ขาดผู้ต้องหาทั้งหมดทุกข้อกล่าวหา คดีนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน และผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ดังนั้นการพิจารณาสั่งคดีอัยการสูงสุดควรสั่งคดีเอง โดยไม่ต้องมอบหมายให้อัยการคนอื่นดำเนินการแทน และหากมีประเด็นใดหรือข้อเท็จจริงใดที่ยังไม่ยุติก็ขอให้ใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งพนักงานสอบสวนสอบสวนเพิ่มเติมได้ คดีนี้ไม่ใช่แค่คืนความเป็นธรรมให้ครอบครัวของบิลลี่เท่านั้น แต่ยังมีความหมายต่อกลุ่มชาติพันธ์ชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่แก่งกระจานและจังหวัดอื่น ๆ ที่ยังเฝ้ารอผลของคดีนี้ว่า ความเป็นธรรมยังมีอยู่จริงหรือไม่ และรัฐเห็นคุณค่าของกลุ่มชาติพันธ์หรือไม่” น.ส.วราภรณ์ กล่าว
ขณะที่ภรรยาของนายพะลอจี กล่าวว่า หลังจากนายพอละจีหายตัวไป การเรียกร้องสิทธิทำกินในพื้นที่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข ชาวบ้านต้องอยู่อย่างยากลำบาก ส่วนตัวแม้การร้องขอความเป็นธรรมครั้งนี้ความหวังจะน้อย แต่มองในแง่บวกและหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมในคดีนี้
ด้าน นายวรวุฒิ วัฒนอุตถานนท์ อัยการผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ กล่าวว่า สำหรับขั้นตอนหลังรับเรื่องขอความเป็นธรรมแล้ว ตนจะส่งให้สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาพยานหลักฐาน ส่วนการร้องขอให้สอบพยานเพิ่มเติมนั้นทำได้หากข้อเท็จจริงยังไม่ยุติหรือกรณีที่พบพยาน หลักฐานใหม่ ก่อนจะทำความเห็นส่งให้อัยการสูงสุดออกคำสั่งชี้ขาดในคดีว่าสมควรจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ซึ่งคำสั่งอัยการสูงสุดถือเป็นคำสั่งเด็ดขาด ส่วนกรณีสั่งไม่ฟ้องเว้นแต่มีพยานหลักฐานใหม่ก็สามารถยกขึ้นพิจารณาได้ เช่นเดียวกันกับคดีของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ที่ใช้อำนาจตาม ป.วิอาญา มาตรา 147 หยิบยกคดีขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง
ในวันเดียวกัน กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงแก่งกระจานกว่า 50 คน เข้ายื่นหนังสือต่อกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ทบทวนการจัดที่ดินทำกินโดยหนุนให้จัดแบบแบบแปลงรวม เพื่อทำไร่หมุนเวียนของชุมชนกะเหรี่ยงดั้งเดิม หลังหัวหน้าอุทยานฯขีดเส้น 240 วันรังวัดที่ดินรายบุคคล โดยมีนายพงศ์บุณย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติ รับหนังสือ
โดยมีข้อเรียกร้องในการจัดการที่ดินแบบแปลงรวมเพื่อทำไร่หมุนเวียน 4 ข้อ 1.ขอให้พิจารณาปรับปรุงแนวทางปฏิบัติของการใช้สิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงตามแนวทางที่สอดคล้องกับความมุ่งหมายของบทบัญญัติมาตรา 64 และ 65 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรี 3 ส.ค.2553 โดยการออกระเบียบคำสั่งในการรับรองวิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงตามวิถีวัฒนธรรมไร่หมุนเวียนในทำกินในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
2.ให้ขยายเวลาสำรวจพื้นที่ทำกิน พื้นที่ใช้สอย ซึ่งเป็นสาระสำคัญของวัฒนธรรมไร่หมุนเวียนออกไปจนกว่าเจ้าหน้าที่จำทำการสำรวจข้อมูลครบถ้วนในทุกพื้นที่
3.ขอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตั้งคณะกรรมการระหว่างเจ้าหน้าฯและตัวแทนชุมชนชาติพันธุ์ เพื่อกำหนดรายละเอียดการทำประโยชน์ที่ดินร่วมกัน
4.ให้กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมมีคำสั่งไปยังเจ้าหน้าที่อุทยานแก่งกระจาน ให้ระงับการดำเนินคดีจับกุ่มกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงไว้ก่อน และตั้งคณะกรรมการร่วมกันเพื่อตรวจสอบทบทวนทุกกรณี
รูปภาพจาก:thaipbs.or.th
อ่านประกอบ :
ภรรยาบิลลี่เผยดีเอสไอเข้าสอบปากคำคดีบิลลี่เพิ่ม
‘ชัยวัฒน์’ มอบตัวดีเอสไอ ‘คดีบิลลี่’ ยันไม่หลบหนี ตัดพ้อสื่อ สร้างเรื่องจนไร้ที่ยืน
เปิด 6 ข้อหาหนัก! ศาลฯ อนุมัติหมายจับ ชัยวัฒน์ พวก คดี บิลลี่
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/