ป.ป.ช.เผยแพร่ความคืบหน้าคดีกล่าวหา 'พอพนธ์ สิชฌนุกฤษฎ์' อดีตผู้ช่วย ผอ.สวทช. เอื้อประโยชน์ บ.ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง-ขายเศษ Sputtering target -นำรถยนต์ส่วนตัวมาให้สถาบันฯ เช่า ล่าสุด ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนโทษจำคุก 7 ปี ชดใช้เงินคืน 335,634 บาท
.................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา นายพอพนธ์ สิชฌนุกฤษฎ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับพวก เอื้อประโยชน์ให้ บริษัทไฮเทค โปร อิควิปเมนท์ จำกัด ในการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง, ขายเศษ Sputtering target ชนิด Silver ซึ่งเป็นพัสดุของสำนักงานเพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์ที่มิควรได้และนำรถยนต์ส่วนตัวมาให้สถาบันฯเช่า
ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 , 11 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 , 91 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา
โดยความคืบคดีนี้ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาว่า จำเลย มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 และมาตรา 11 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จำคุก 2 ปี ฐานเป็นพนักงานมีหน้าที่ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 7 ปี ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินที่เบียดบังไป จำนวน 335,634 บาท ให้แก่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะส่วนที่วินิจฉัยความผิดกรรมสองว่าฐานเป็นพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตและฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษ ฐานเป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้น เป็นของตนเองหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตอันเป็นบทหนักที่สุดตาม ป.อ.มาตรา 90
ส่วนบทลงโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2563 มีมติเห็นชอบในการที่อัยการสูงสุด (อสส.) จะไม่ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ทั้งนี้ คดียังไม่สิ้นสุด จำเลย มีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 ระบุว่า ผู้ใดเป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
มาตรา 11 ระบุ ผู้ใดเป็นพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อ่านประกอบ :
ศาลอุทธรณ์ ยืนโทษคุก 6 ปี อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมเกษตร ทุจริตปุ๋ยอินทรีย์ -รองฯ โดน 12 ปี
ยืนโทษคุก3 ปี! อดีตผอ.ศึกษาโคราชเขต7ทุจริตสอบครูผู้ช่วย-พวกอีก 26 ราย แยกสำนวนฟ้อง
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/