ศบค.พบป่วยเพิ่ม 4 รายกลับจาก สหรัฐฯ-ไต้หวัน 'นพ.ทวีศิลป์' เผย ผลการหารือ สธ.-ศธ. เพื่อผ่อนคลายให้โรงเรียนขนาดเล็ก มีเด็กเยอะ จำนวน 4 พันแห่งทั่วประเทศ กลับมาจัดการเรียนการสอนได้ปกติ โดยไม่ต้องสลับวันเรียน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ประจำวัน โดยวันนี้พบผู้ป่วยรายใหม่ 4 ราย กลับจากสหรัฐอเมริกา 3 ราย และไต้หวัน 1 ราย ทั้งหมดพบเชื้อในสถานกักตัวที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ทำให้ผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,295 ราย หายป่วยเพิ่ม 2 ราย รวม 3,111 ราย อยู่ระหว่างรักษา 126 และเสียชีวิตคงเดิมที่ 58 ราย
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวถึงแนวทางการผ่อนคลายมาตรการของสถานศึกษา หลังจากมีโรงเรียนอีกประมาณ 4,528 แห่ง ยังต้องใช้วิธีสลับวันเรียน เนื่องจากสถานที่เล็กและมีจำนวนนักเรียนมากเกินไป โดย ศบค.ชุดเล็กได้รับทราบผลการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพิจารณาการผ่อนคลายให้ทุกโรงเรียนกลับมาจัดการเรียนการสอนได้ตามปกติ ทั้งนี้ให้คณะกรรมการโรคติดต่อในระดับจังหวัด นำแนวทางดังกล่าวไปประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ได้ทันที สำหรับแนวทางเบื้องต้น ประกอบด้วย จัดห้องเรียนให้จัดโต๊ะเรียนให้ห่างกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ , กรณีห้องแอร์ให้เปิดประตู หน้าต่างระบายอากาศ ช่วงพักกลางวันหรือช่วงที่ไม่มีการเรียนการสอน , ให้คณะกรรการสถานศึกษาและหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่กำกับดูแล และปรับเปลี่ยนมาตรการตามสถานการณ์การระบาดและข้อมูลที่มีอยู่ในรขณะนั้นเป็นระยะ
ขณะที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รายงานผลการตรวจประเมินและติดตามหลังเปิดภาคเรียนไปแล้วเกือบ 1 เดือน พบว่า โรงเรียนมีความครอบคลุมการมีมาตกรารความปลอดภัย 99.47% , ในสถานศึกษาไม่มีนักเรียนที่มีอาการของระบบทางเดินหายใจ 97.27% , มีแผนรองรับกรณีพบผู้มีอาการป่วย 96.25%
สำหรับสถิติจากจำนวนผู้ป่วยสะสมในไทย พบว่าเด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อค่อนข้างต่ำ ประมาณ 1-6% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด กลุ่มเด็กอายุ 0-9 ปี ติดเชื้อ 62 ราย หรือ 1.9% และกลุ่มอายุ 10-19 ปี ติดเชื้อ 126 ราย หรือ 3.87% ทั้งนี้ยังไม่เคยพบการป่วยเป็นกลุ่มในโรงเรียน และยังไม่มีการระบาดในโรงเรียน นอกจากนั้นยังพบว่าการไม่กลับมาเรียนในห้องเกิดผลกระทบหลายด้านอีกด้วย
โฆษก ศบค. กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า นอกจากสถานการณ์การระบาดของโรค ตอนนี้สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ต้องทำควบคู่กับการควบคุมโรคให้สมดุล ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกัน หยุดโควิด แต่ไม่หยุดเศรษฐกิจไทย และทราบจากข่าวว่า การท่องเที่ยวกลับมามีเม็ดเงินสะพัดหลายพันล้านบาท ซึ่งต้องขอบคุณทุกคน ไทยช่วยไทยดีที่สุดตอนนี้ และฝากดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากโรคด้วย
ส่วนสถานการณ์โลก มีผู้ป่วยเพิ่ม 214,013 ราย สะสม 16,412,794 ล้านราย หายป่วย 10,042,362 ราย และเสียชีวิต 652,039 ราย โดยสหรัฐอเมริกา พบผู้ป่วยเพิ่ม 56,130 ราย รวม 4,371,893 ราย เสียชีวิต 149,849 ราย , บราซิล พบผู้ป่วยเพิ่ม 23,467 ราย รวม 2,419,901 ราย เสียชีวิต 87,052 ราย และอินเดีย พบผู้ป่วยเพิ่ม 50,525 ราย รวม 1,436,019 ราย เสียชีวิต 32,812 ราย ส่วนไทยอยู่ในอันดับที่ 106 ของโลก
“สถานการณ์โลกยังเป็นเรื่องที่เราต้องกังวลใจ จะเห็นได้ว่าเมื่อ 4 วันก่อนเรายังมีผู้ป่วยสะสม 15 ล้านราย แต่ปัจจุบันเพิ่มมาเป็น 16 ล้านรายแล้ว และยังมีแนวโน้มพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่า เมื่อดูสถานการณ์ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของไทย สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ค. เวียดนามกลับมาพบผู้ติดเชื้อรายแรกในรอบเกือบ 100 วัน และต่อเนื่องวันนี้ก็พบผู้ป่วยเพิ่มอีก 3 ราย โดยทัง้หมดพบเชื้อในเมืองดานัง ทำให้ทางการเวียดนามต้องประกาศงดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าเมืองดานัง 14 วัน รวมทั้งรณรงค์การสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และยกเลิกการจัดงานต่างๆในทันที อย่างไรก็ตาม เมื่อสำรวจทั่วโลก พบว่ามี 4 ประเทศ และ 1 เขตบริหารพิเศษ กลับมาเกิดการระบาดระลอกสอง ประกอบด้วย ฮ่องกง ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิสราเอล และโครเอเชีย
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage