ธปท.มองเศรษฐกิจไตรมาส 1/63 ติดลบ แต่ไตรมาส 2/63 จะหดตัวสูงขึ้น ชี้หากปล่อยกู้ซอฟท์โลน 5 แสนได้หมด กระตุ้นจีดีพีได้ 3% หนุนรัฐบาลใช้จ่ายเงิน 1 ล้านล้านบาท ‘ให้เร็ว-ตรงจุด’ หากไม่ต้องตรงจุดจะไม่ได้ผลตามที่คาดไว้ พร้อมประเมินทิศทางบาท ‘อ่อนค่า’ เชื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่กลับมาเร็ว ทำให้ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงจากปีก่อน
เมื่อวันที่ 30 เม.ย. นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไตรมาส 1/2563 มีแนวโน้มหดตัว และเมื่อพิจารณาจากเครื่องชี้วัดต่างๆ เศรษฐกิจไตรมาส 2/2563 จะมีการหดตัวสูงขึ้น ส่วนทิศทางเศรษฐกิจไตรมาสถัดๆไปนั้น จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เศรษฐกิจโลก และผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ 1.9 ล้านล้านบาท
“มาตรการ 1.9 ล้านล้าน เข้าใจว่าจะเริ่มลงตั้งแต่ไตรมาส 2 และเห็นผลชัดเจนไตรมาส 3 โดยมาตรการที่ออกมาถือว่าค่อนข้างใหญ่ แต่คงต้องติดตามอย่างซอฟท์โลนของธปท. 5 แสนล้านบาท ถ้าถูกเอาไปใช้หมด ก็คิดเป็น 3% ของจีดีพี ส่วนมาตรการภาครัฐ 1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 6% ของจีดีพี ที่จะแบ่งลงปีนี้และปีหน้า จะต้องดูว่าแบ่งอย่างไร ลงที่ไหน ซึ่งความท้าทายของรัฐบาล คือ ต้องเอาเงินลงไปให้เร็ว ตรงจุด ถ้าจ่ายผิดจุดจะไม่ได้ผลอย่างที่คาด”นายดอนกล่าว
นายดอน ระบุว่า ธปท.อยู่ระหว่างประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งตอนนี้คาดว่าน่าจะเป็นรูปตัว U หรือตัว V ส่วนจะฟื้นตัวแบบใดต้องขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติว่าจะกลับมาได้เร็วเพียงใด และเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร โดยในส่วนการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกนั้น มีการมองว่าจะฟื้นตัวแบบตัว U หรือตัว W โดยนักวิเคราะห์ที่มองว่าเป็นตัว W เพราะมองว่าแม้ว่าการระบาดของโควิด-19 จะถูกควบคุมไว้ได้ แต่อาจเกิดการระบาดระลอก 2 ขึ้นมาก็ได้
ส่วนทิศทางค่าเงินบาทนั้น ประเด็นสำคัญขึ้นอยู่กับมุมมองของนักลงทุนต่อแนวโน้มดุลบัญชีเดินสะพัดและทิศทางเศรษฐกิจไทย ซึ่งดุลบัญชีเดินสะพัดปีนี้น่าจะลดลงจากปีที่แล้วมากพอสมควร และจะเป็นปัจจัยที่กดดันค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง โดยค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงนี้เป็นการแข็งค่าขึ้นทั่วภูมิภาค เพราะคนมองว่าสถานการณ์โควิดเริ่มคุมได้ สำหรับประเทศไทย แม้ว่าจะคุมสถานการณ์ในประเทศได้ แต่ไม่ได้หมายความว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาเร็ว
สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนมี.ค.2563 หดตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้นในทุกด้าน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่หดตัวรุนแรง หลังหลายประเทศรวมถึงไทยประกาศใช้มาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ด้านการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมทองคำหดตัวสูงขึ้นตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าและราคาน้ำมัน
ส่วนเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนหดตัวตามปัจจัยสนับสนุนกำลังซื้อที่อ่อนแอลง และมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดขึ้น ทั้งนี้ อุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่หดตัวส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนหดตัวสูงขึ้นสอดคล้องกัน มีเพียงการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวตามการทยอยเบิกจ่ายภายหลัง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2563 ประกาศใช้
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจปรับไปในทิศทางที่แย่ลง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ จากอัตราเงินเฟ้อในหมวดพลังงานตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่หดตัวสูง ขณะที่ตลาดแรงงานเปราะบางมากขึ้น ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงตามดุลการค้าที่ลดลงจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น และรายรับภาคการท่องเที่ยวที่ลดลงมาก ส่วนดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลสุทธิจากทั้งด้านสินทรัพย์และด้านหนี้สิน อย่างไรก็ดี เสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี
ส่วนรายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจไทยมี ดังนี้
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศหดตัวรุนแรงที่ 76.4% จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยเป็นการหดตัวสูงในทุกสัญชาติ จากผลของการประกาศใช้มาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศในหลายประเทศรวมถึงไทยเพื่อควบคุมการระบาดของโรค COVID-19 ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ลดลงมากส่งผลกระทบรุนแรงต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและภัตตาคาร และธุรกิจขนส่งผู้โดยสาร
มูลค่าการส่งออกสินค้าหดตัว 2.2% จากระยะเดียวกันปีก่อน หากไม่รวมการส่งออกทองคำ มูลค่าการส่งออกหดตัวที่ 6.5% โดยเป็นการหดตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเป็นการหดตัวในหลายหมวดสินค้า โดยเฉพาะยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรและอุปกรณ์ และสินค้ากลุ่มที่มูลค่าเคลื่อนไหวตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการปิดเมืองในหลายประเทศ ซึ่งส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าลดลงมาก ประกอบกับราคาส่งออกหดตัวตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อย่างไรก็ดี การส่งออกในบางหมวดสินค้ายังขยายตัวได้ อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตรแปรรูป และเครื่องใช้ไฟฟ้า
เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนหดตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการใช้จ่ายในเกือบทุกหมวด จากปัจจัยสนับสนุนกำลังซื้อภาคครัวเรือนที่อ่อนแอลง ทั้งในด้านรายได้ การจ้างงาน และความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมทั้งเป็นผลจากมาตรการควบคุมและความกังวลต่อโรค COVID-19 ซึ่งทำให้การเดินทางและการใช้จ่ายนอกบ้านลดลง โดยมีเพียงการใช้จ่ายในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและการใช้ไฟฟ้าที่ขยายตัวได้ ทั้งนี้ การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวสูงขึ้น สอดคล้องกับอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่อ่อนแอลง
เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนหดตัวสูงขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนทั้งในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์และหมวดก่อสร้าง สอดคล้องกับอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่อ่อนแอลง รวมทั้งความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ลดลงต่อเนื่องตามสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่รุนแรงขึ้น
มูลค่าการนำเข้าสินค้ากลับมาขยายตัว 4.4% จากระยะเดียวกันปีก่อน หลังจากที่หดตัวสูงในเดือนก่อนหน้า หากไม่รวมการนำเข้าทองคำ มูลค่าการนำเข้าขยายตัวที่ 1.3% ตามการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง โดยเฉพาะการนำเข้าจากจีน จากการผ่อนคลายมาตรการการปิดเมือง ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าบางกลุ่มกลับมาขยายตัว ประกอบกับการนำเข้าน้ำมันดิบขยายตัว ตามคำสั่งซื้อที่ตกลงไว้ก่อนการระบาดของ COVID-19 อย่างไรก็ดี การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าทุนยังคงหดตัว สอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
การใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่รวมเงินโอนกลับมาขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน เป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ตามการทยอยเบิกจ่ายภายหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 เป็นหลัก โดยรายจ่ายประจำขยายตัวตามการเบิกจ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการ และการเบิกจ่ายค่าตอบแทนบุคลากร ขณะที่รายจ่ายลงทุนขยายตัวจากการเบิกจ่ายทั้งในส่วนของรัฐบาลกลางและรัฐวิสาหกิจ
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจปรับไปในทิศทางที่แย่ลง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 จากอัตราเงินเฟ้อในหมวดพลังงานตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่หดตัวสูง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและอัตราเงินเฟ้อในหมวดอาหารสดยังคงเป็นบวกแต่ปรับลดลงจากเดือนก่อน ด้านตลาดแรงงานเปราะบางมากขึ้น สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงตามดุลการค้าที่ลดลงจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น และรายรับภาคการท่องเที่ยวที่ลดลงมาก ส่วนดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลสุทธิจากทั้งด้านสินทรัพย์และด้านหนี้สิน อย่างไรก็ดี เสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี
ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 หดตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน โดยการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุปสงค์ทั้งต่างประเทศและในประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่หดตัวสูง ด้านการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมทองคำหดตัวต่อเนื่อง เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนแผ่วลงตามรายได้และความเชื่อมั่นที่ปรับลดลงมาก โดยมีเพียงการใช้จ่ายในหมวดสินค้าจำเป็นที่ยังขยายตัวได้ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวต่อเนื่องจากความล่าช้าของ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563
ทั้งนี้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หดตัวส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนหดตัวสอดคล้องกัน ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนตามอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน และอัตราเงินเฟ้อในหมวดพลังงานที่เป็นผลจากฐานต่ำในปีก่อน ขณะที่ตลาดแรงงานเปราะบางเพิ่มขึ้น ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลง จากรายรับภาคการท่องเที่ยวที่ลดลงมาก ส่วนดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลสุทธิจากทั้งด้านสินทรัพย์และด้านหนี้สิน
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage