สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่อนจม. แจงสมาชิก ความคืบหน้าคดีโดนปลอมเอกสารลักทรัพย์ 28 ล้าน ล่าสุด 'อัยการ' แนะแยกฟ้อง 2 คดี วงเงิน 17.7 ล้าน กับ 11 ล้าน เพื่อความรวดเร็ว เผยสถานการณ์ช่วงโควิดส่งผลกระทบนัดหมายคดี แต่ไม่นิ่งนอนใจจะตามเร่งรัดเต็มที่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2563 สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ได้เผยแพร่ข่าวความคืบหน้าคดีกรณีสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องร้องผู้ต้องหา (อดีตเจ้าหน้าที่ตำแหน่งรองผู้จัดการ และฝ่ายบัญชีของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ) คดีปลอมและใช้เอกสารปลอม และลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างหรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้างให้สมาชิกได้รับทราบ ถึงคำแนะนำจากอัยการให้แยกฟ้องคดีความเสียหายประมาณ 11 ล้านบาท ที่ตรวจพบเอกสารเพิ่มเติมออกจากคดีเดิมที่มีมูลค่าความเสียหาย 17.7 ล้านบาท ที่ยื่นฟ้องร้องคดีไปแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าในการฟ้องร้องคดีเดิม
สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ระบุว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นายถิรพุทธิ์ เปรมาประยูรวงศา นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ พร้อมด้วย นายกฤษณะพงศ์ พงศ์แสนยากร อุปนายก 1 และ นางสาวหฤทัย พันทะวงศ์ ผู้จัดการสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ได้เข้าหารือกับอัยการพิศษ ฝ่ายคดีอาญา 7 ซึ่งรับผิดชอบคดีนี้ เพื่อตรวจสอบเอกสารในขั้นตอนสุดท้าย ให้เอกสารประกอบคำสั่งฟ้องมีความครบถ้วนทุกกรรมวาระของการกระทำผิด โดยขณะนี้กรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ได้ส่งเอกสารให้เพิ่มเติมครบถ้วนสำหรับคดีชุดแรกวงเงินความเสียหาย 17.7 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ กรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ มีสาระสำคัญที่ต้องแจ้งสมาชิกทราบถึงข้อแนะนำ ที่อัยการคดีมีให้กับกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ในการแยกฟ้องคดีระหว่างคดี ที่ได้ฟ้องร้องผ่านพนักงานสอบสวนไปก่อนหน้านี้ จนมีการส่งสำนวนหลักฐานเอกสารของคดีถึงชั้นอัยการมูลค่าความเสียหาย 17.7 ล้านบาท โดยเป็นการฟ้องร้องจำเลยในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอม และลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างหรือที่อยู่ในความครอบครองของนายแจ้ง ตามที่หลักฐานชุดแรกปรากฎชัดเจน
ส่วนความเสียหายที่ตรวจพบเอกสารเพิ่มเติมจากผู้สอบบัญชี เป็นมูลค่าเสียหายอีกประมาณ 11 ล้านบาท (รวมเป็นความเสียหาย 28.6 ล้านบาท) ตามที่กรรมการสมาคมชุดที่ผ่านมา ได้รายงานให้สมาชิกทราบในการประชุมสามัญไปแล้วนั้น
ในส่วนนี้อัยการคดีฯ ขอให้มีการแยกฟ้องเป็นอีกหนึ่งคดี เพราะหากมีการนำหลักฐานเอกสารที่ตรวจพบใหม่ไปรวมกับคดีเก่าก็จะทำให้คดีชุดแรกเกิดความล่าช้าไปอีกมาก เนื่องจากการดึคดีความเสียหาย 17.7 ล้านบาท ไว้เพื่อนำมารวมกับหลักฐานใหม่ที่ตรวจพบเพิ่มจะต้องมีการรวบรวมเอกสารหลักฐาน สอบปากคำทำสำนวนใหม่ ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนยิ่งจะทำให้คดีล่าช้าออกไปอีกหลายเดือน
ดังนั้น ด้วยคำแนะนำของอัยการคดีดังกล่าว กรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ชุดปัจจุบันได้มีมติฯ ให้มีการแยกฟ้องระหว่างคดีชุดแรกกับคดีที่มีการตรวจพบหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งหลังจากนี้ เมื่อมีการจัดหาทนายใหม่แทนทนายคนเดิม ที่ถอนตัวจากคดีออกไปได้แล้ว ก็จะมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนและจัดสำนวนดำเนินคดี ในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอม และลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างหรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้าง กับจำเลยเพิ่มเติมอีก 1 คดีแน่นอน
ส่วนขั้นตอนของการดำเนินคดี ในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอม และลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างหรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้าง มูลค่าความเสียหาย 17.7 ล้านบาทนั้น อัยการประเมินขั้นตอนของเวลาว่าจะสามารถส่งฟ้องจำเลยต่อศาลได้ประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2563 และก่อนที่จะมีการสั่งฟ้อง อัยการจะส่งเอกสารให้ทางสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ กรอกเอกสารยื่นยันขอใช้สิทธิ์ของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ในการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง เมื่อคดีอาญาสิ้นสุดด้วย
ทั้งนี้ อัยการยอมรับว่าสถานการณ์ช่วงเวลานี้ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า (COVID -19) ทำให้การนัดหมายดำเนินการระหว่างอัยการและการนัดพร้อมของศาลค่อนข้างนัดห่างทำให้เกิดปัญหาล่าช้าบ้างแต่กรรมการ สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจชุดปัจจุบัน ยืนยันว่าจะไม่นิ่งนอนใจและจะพยายามเร่งรัดให้คดีมีความคืบหน้าโดยเร็วสุด
อ่านประกอบ :
ตร.ตามตัวส่งอัยการ พ.ย.62! ส.ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ แจงคดี จนท. ยักยอกเงินเกือบ20ล้าน
ไล่ออกแล้ว! ส.ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ยันตามเอาผิดคดีอาญา-แพ่ง จนท.ยักยอกเงินกว่าสิบล.
ช็อก! ยอดฉ้อโกงเงิน 'ส.ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ’ พุ่งเป็น 30 ล้าน
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/