ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มติข้างมาก 376 เสียง ค้าน 70 เสียง อนุมัติ พ.ร.ก.โอนกรมทหารราบที่ 1 และ 11 ขึ้นตรงหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ในส่วนราชการในพระองค์
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2562 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการพิจารณาเรื่อง พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 โดยสาระสำคัญของ พ.ร.ก.ฉบับนี้คือ การโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณในส่วนของกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และกรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ โดยตามรัฐธรรมนูญปี 2560 การที่รัฐบาลออก พ.ร.ก. จะต้องให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติว่าจะให้ผ่านหรือไม่ให้ผ่าน
เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. วันเดียวกัน ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติข้างมากเห็นชอบ 376 แบ่งเป็นลงคะแนนแบบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 366 เสียง ขานชื่อ 10 เสียง ไม่เห็นด้วย 70 เสียง อนุมัติ พ.ร.ก.ฉบับนี้
(พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม)
@รมช.กลาโหมยันเป็นเรื่องการรักษาความปลอดภัยระดับ 'สูงสุด' ของประเทศ
โดยก่อนลงมติ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ตัวแทน รมว.กลาโหม และคณะรัฐมนตรี ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยเห็นว่า การตรา พ.ร.ก.ฉบับนี้ถือเป็นการรักษาความปลอดภัยอันมีความสำคัญสูงสุดของประเทศ เนื่องจากหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยในพระองค์ มีหน้าทีวางแผนอำนวยการ การบังคับบัญชา การถวายอารักขา ปฏิบัติหน้าที่ทางพระราชพิธี รักษาความสงบเรียบร้อยภายในเขตพระราชฐาน และถวายพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท พระบรมวงศานุวงศ์ และราชอาคันตุกะ ดังนั้นสมควรโอนกรมทหารราบที่ 1 และกรมทหารราบที่ 11 ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยในพระองค์
(นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่)
@อนค.ฝ่ายค้านพรรคเดียวอภิปราย-'ปิยบุตร'ยันเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง ครม.-สภาฯตาม รธน.
อย่างไรก็ดีมีพรรคฝ่ายค้านพรรคเดียวที่อภิปรายประเด็นนี้ ได้แก่ พรรคอนาคตใหม่ โดยนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลตรา พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าวโดยยืนยันว่าการอภิปรายนี้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนสมาชิก ประชาชน และนี่คือการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นอกจากนี้ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบหน่วยงานกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 ที่แก้ไขล่าสุดเมื่อปี 2560 ระบุว่า หน่วยงานภายใต้กระทรวงกลาโหม คือทุกเหล่าทัพต้องพิทักษ์รักษาและสนับสนุนภารกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว
นายปิยบุตร ยกเหตุผลในรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 ว่า การตรา พ.ร.ก. ซึ่งมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายนั้น เป็นข้อยกเว้นที่รัฐธรรมนูญยอมให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจออกกฎหมายไปก่อน ใช้ไปก่อน แล้วให้สภารับรองทีหลัง แต่รัฐธรรมนูญมาตรา 172 กำหนดไว้เพื่อไม่ให้ฝ่ายบริหารใช้ข้อยกเว้นฟุ่มเฟือย นานวันเข้าจากยกเว้นจะกลายเป็นเรื่องทั่วไป นานวันฝ่ายบริหารใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญแทนฝ่ายนิติบัญญัติเสียเองเพื่อหลีกเลี่ยงการมาตอบในสภา ดังนั้นจึงเขียนไว้ให้กระทำได้เมื่อเป็นกรณีฉุกเฉิน หรือมีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้
“สิ่งที่อภิปราย และที่พวกเราจะลงมติต่อไป นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างสภาผู้แทนราษฎร กับคณะรัฐมนตรี ตามระบบรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ คือกระบวนการออกกฎหมาย นี่คือการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน คณะรัฐมนตรีในฐานะองค์กรผู้ถวายคำแนะนำ และผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ การตรา พ.ร.ก.ฉบับนี้ ลงนามรับสนองโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ดังนั้นสิ่งที่อภิปรายทั้งหมดคือการตรวจสอบการใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรี การตรวจสอบการใช้อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องรับผิดชอบในฐานะที่ลงนามสนองพระบรมราชโองการ” นายปิยบุตร กล่าว
@ให้ ครม.แจงข้อเท็จจริงมีเหตุอะไรกระทบการอารักขาถึงต้องออก พ.ร.ก.
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า เมื่อพิจารณาเหตุผลในการตรา พ.ร.ก.ฉบับนี้ ที่ รมช.กลาโหม อภิปรายส่วนใหญ่ยกเหตุผลตามที่ระบุในท้าย พ.ร.ก. คือเพื่อสนับสนุนส่วนราชการในพระองค์ ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการถวายอารักขา ถวายพระเกียรติ และการรักษาความปลอดภัยขององค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท พระบรมวงศานุวงศ์ และราชอาคันตุกะ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ และเกิดความปลอดภัยสูงสุด จึงเป็นกรณีฉุกเฉินอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เหตุผลท้าย พ.ร.ก.ฉบับนี้ เท่ากับว่า คณะรัฐมนตรีอ้างถึงเรื่องความปลอดภัยของประเทศ และยืนยันว่าเป็นกรณีฉุกเฉิน มิอาจหลีกเลี่ยงได้
“ถูกต้องครับ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันสำคัญของชาติ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การถวายความปลอดภัยแด่องค์พระมหากษัตริย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาความปลอดภัยของประเทศ อันนี้ไม่น่ามีปัญหา แต่ประเด็นปัญหาอยู่ที่กรณีฉุกเฉินมีความจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ถ้าคณะรัฐมนตรียืนยันว่าการตรา พ.ร.ก.ฉบับนี้เป็นเรื่องฉุกเฉิน จำเป็นต้องแสดงข้อเท็จจริงให้สภาแห่งนี้ทราบว่า ณ วันที่ออก พ.ร.ก. มีเรื่องอะไรกระทบต่อการถวายการอารักขา มีเรื่องอะไรฉุกเฉินทันทีทันใด เหตุใดต้องตรา พ.ร.ก.ฉบับนี้ทันที หากไม่ตราจะเกิดผลกระทบอะไรร้ายแรงตามมา ปรากฏว่าไม่ได้ชีแจง คณะรัฐมนตรีไม่ได้แสดงข้อเท็จจริง รมช.กลาโหม ไม่ได้ชี้แจงอีก” นายปิยบุตร กล่าว
@สะท้อน 'บิ๊กตู่' ชินใช้ ม.44
นายปิยบุตร กล่าวด้วยว่า ประเด็นนี้เป็นปัญหาสะท้อนการใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีคงคุ้นชินกับการมีอำนาจพิเศษตาม มาตรา 44 (ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557) ที่ใช้มา 5 ปีเศษ ประเภทเปิดปุ๊บติดปั๊บ แต่วันนี้เข้าสู่ระบบปกติ ใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 เต็มรูปแบบ ไม่มีมาตรา 44 ในมืออีกแล้ว ไม่มีมนต์วิเศษอีกแล้ว มีสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีต้องไม่ลืมว่า สภาไม่ใช่ลูกน้อง หรือผู้ใต้บังคับบัญชา การใช้กฎหมายต้องเคารพรัฐธรรมนูญ ดังนั้นหากปล่อยผ่านไป จะเป็นการสนับสนุนนิสัยการใช้อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ และสร้างบรรทัดฐานผิด ๆ นายกรัฐมนตรีอยากได้กฎหมายอะไรก็ใช้ พ.ร.ก.
“ด้วยเหตุผลที่อภิปรายมาทั้งหมด พ.ร.ก.ตราขึ้นโดยไม่เป็นไปตามมาตรา 172 ไม่เป็นความจำเป็นและฉุกเฉิน และส่งผลกระทบต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหาษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในฐานะสมาชิก ส.ส. เป็นผู้แทนมาจากการเลือกตั้ง ไม่สามารถลงมติอนุมัติ พ.ร.ก. ได้” นายปิยบุตร กล่าว
หลังจากนั้น พล.อ.ชัยชาญ ชี้แจงเน้นย้ำว่า โดยที่กระทรวงกลาโหมมีภารกิจตามที่กฎหมายกำหนดขึ้นคือตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการภายในกระทรวงกลาโหมฯ ซึ่งกำหนดให้กรมทหารราบที่ 1 และกรมทหารราบที่ 11 เป็นหน่วยทหารหลักมีภารกิจโดยตรงในการถวายพระเกียรติ และถวายความปลอดภัยองค์พระมหากษัตริย์ จึงเป็นหน้าที่สำคัญยิ่งในการปกป้องสถาบันอันเป็นที่เคารพรักของประชาชนทุกคนในประเทศ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนในการตรา พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว
อ่านประกอบ : แพร่ พ.ร.ก.โอนกำลังพลและงบบางส่วน ทบ.ไปเป็นของหน่วยฯถวายความปลอดภัยฯ
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/