'ธีรยุทธ บุญมี' บรรยายพิเศษเสวนารำลึกครบ 46 ปี 14 ต.ค. ชี้การเมืองไทยยุคปัจจุบันติดกับดัก ฝ่ายทหารได้อํานาจมา 5 ปีเศษ เน้นงานเฉพาะความมั่นคง ไม่มีเป้าหมายกินใจปชช.ให้เกิดเป้าหมายร่วมปท.ได้ เผยมีกระบวนทรรศน์ใหม่ เกิดระบบคิด 'ความเมือง' ครอบงำคนไทย วอนผู้มีอำนาจทุกฝ่ายนำชาติร่วมแก้ปัญหา
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ต.ค.2562 ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ประชาชน พรรคการเมือง ทหารไทย ติดกับดัก ก่อวิกฤติใหม่ประเทศไทย” ในระหว่างการจัดเสวนารำลึกครบ 46 ปีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2562 ตอนหนึ่งว่า การเมืองไทยในยุคปัจจุบัน (2557-2562) ถือเป็นยุคติดกับดัก เพราะไม่สามารถพบเป้าหมายที่เป็นทางออกได้ ซึ่งอันที่จริงมีเป้าหมาย หนึ่งคือ ประชาธิปไตยที่กินได้ หรือนโยบายประชานิยมที่จับใจชาวบ้าน จนกลายเป็นเสียงที่เหนียวแน่นของพรรคไทยรักไทย แต่ประชานิยมที่เกิดมาทั่วโลกเป็นเพียงเครื่องมือของการเลือกตั้ง ไม่สามารถเป็นเป้าหมายของประเทศได้ และพิสูจน์มาแล้วว่าไม่ยั่งยืน
ส่วนพรรคอนาคตใหม่มีฐานเสียงเป็นชนชั้นกลางและคนรุ่นใหม่ที่ไม่พอใจระบบเก่า 2 พรรคนี้ ยังไม่มีการเสนอยุทธศาสตร์แผนงานหลักที่จะนําพาประเทศข้ามความขัดแย้งนี้ไปข้างหน้า เน้นการจุดประเด็นซึ่งเป็นจุดขายของขบวนการประชานิยม และมักกลายเป็นความขัดแย้งกับฝ่ายรัฐ ขณะที่พลังฝ่ายอนุรักษ์หรือ ทหารเอง แม้จะได้อํานาจมา 5 ปีเศษ แต่ก็ติดกับดักความคิดที่เน้นเฉพะความมั่นคง ไม่มีเป้าหมายที่จะกินใจประชาชนจนเกิดเป็นเป้าหมายร่วมของประเทศได้ กระบวนทรรศน์ใหม่ที่เข้ามาครอบงำคนไทย คือ ระบบคิดที่เรียกว่า 'ความเมือง' เข้ามาแทนที่ระบบคิดแบบ 'การเมือง'
นายธีรยุทธ ขยายความต่อว่า คำว่า การเมือง นั้นแม้จะเป็นพื้นที่การแข่งขันของความคิดที่ต่างกัน เป็นความไม่ชอบไม่พอใจ แต่ก็สามารถหาข้อสรุปโดยเสียงส่วนใหญ่ได้ แต่ว่าในกระบวนการคิดแบบ"ความเมือง"นั้น เน้นการทำลายล้างกันเป็นหลัก ซึ่งความผิดพลาดนั้นก็มาจากยุทธศาสตร์ของทหารและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ที่มักจะไปพูดเรื่องความมั่นคงเป็นหลักเสียมากกว่า
“ความยากจนนั้นควรจะเป็นสาระสำคัญที่สุดที่ต้องแก้ปัญหา แต่อย่างไรก็ตาม กองทัพมักจะออกมาพูดถึงกรณีความมั่นคงและความจงรักภักดีต่อสถาบันอยู่มาก จนที่ฟังรู้สึกตกใจว่ามันมีปัญหาอะไรหรือไม่ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นั้นก็เป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนก็ยึดมั่นอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่ได้ออกมาพูดถึงสถาบันหรือความรักชาติกันแบบออกหน้าออกตา ดังนั้นก็ต้องขอว่าอย่าเอาเรื่องปัญหาความมั่นคงมาเป็นเรื่องหลักมากกว่าเรื่องปากท้อง” นายธีรยุทธ์กล่าว
นายธีรยุทธ์ ขยายความถึงปัญหาในปัจจุบันของประเทศไทยขณะนี้ว่า มีแนวคิดแบบความเมืองขยายตัวและมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูออกมาค่อนข้างมากซึ่งแนวคิดความเมืองที่ต้องกวาดล้างอีกฝ่ายนั้นได้ขยายตัวไปยังกลุ่มบุคคลหลายกลุ่มในสังคม อาทิ นักการเมืองกลางเป็นนักความเมือง ทหารฝ่ายความมั่นคงก็เป็นทหารฝ่ายความเมือง นักวิชาการฝ่ายการเมือง ก็กลายเป็นนักวิชาการฝ่ายความเมือง ซึ่งคนกลุ่มความเมืองนี้ก็จะเป็นกลุ่มคนที่ต้องพยายามทำลายล้างอีกฝ่ายในทุกกรณี อาทิ การใช้กระบวนการกฎหมาย คดีความ เฟคนิวส์ สาดโคลนกล่าวหาอีกฝ่าย และท้ายที่สุดก็อาจจะกลายเป็นสงครามไปก็เป็นได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก
"หนทางที่จะต้องแก้ไขปัญหาก็คือว่า ฝ่ายรัฐนั้นจะต้องตั้งสติและอยู่ที่ตรงกลาง รับความเห็นอย่างหลากหลาย อย่าเข้ามาใช้กระบวนการไปสู่ความเมือง แต่ให้นำเอากระบวนการกลับเข้ามาสู่การเมือง กลับมาสู่ระบอบรัฐสภาที่ทุกฝ่ายนั้นสามารถหารือร่วมกันได้ โดยงานหลักที่ พล.อ.ประยุทธ์ (จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี) ควรจะเร่งทำก็คือจะต้องก็คือต้องปรับปรุงวิธีการทำงาน ตั้งเป้าหมายระยะยาว และต้องมีเป้าหมายในการปฏิรูปอย่างจริงจังในทุกด้านรวมถึงด้านการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งทำให้สำเร็จแม้เพียงแค่ 2-3 เรื่องก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากถ้าหากการปฏิรูปถ้าหากไม่เกิดการสร้างความไม่สมานฉันท์ก็จะไม่เกิดขึ้น ส่วนเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญนั้น ส่วนตัวแล้วก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรจะต้องทำเช่นกัน"
นายธีรยุทธ์ ระบุด้วยว่า “ปัญหาเรื่องความไม่สงบในบ้านเมืองต่างๆนั้น ในตอนนี้สังคมไทยยังมีความเชื่อในความมีวัยวุฒิ ความอาวุโส ความเป็นผู้ใหญ่อยู่ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ที่เปรียบเสมือนกับหัวหน้าพรรคการเมืองนั้นก็เสมือนเป็นผู้ใหญ่ ที่สามารถจะออกมาปรามไม่ให้เกิดความขัดแย้งได้ และแค่ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น แม้แต่นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทยนั้นก็ควรออกมาทำตัวเป็นเสาหลักทางความคิดในสังคมเพื่อจะประคับประคองบ้านเมืองให้ก้าวต่อไปได้”
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/