กลุ่ม FORGET ME NOT -เครือข่ายศิลปิน จัดกิจกรรม ‘อย่าลืมฉัน’ ร่วมถอดบทเรียนกรณี ‘บิลลี่’ ถูกอุ้มฆ่า จี้รัฐยกระดับคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กลุ่มชาติพันธุ์ ดัน พ.ร.บ.ป้องกันซ้อมทรมานฯ พร้อมเร่งแก้ไขปมพิพาทอุทยานแก่งกระจานทับที่ทำกิน
วันที่ 15 ก.ย. 2562 กลุ่ม FORGET ME NOT และเครือข่ายศิลปิน ร่วมจัดกิจกรรม FORGET ME NOT อย่าลืมฉัน เพื่อร่วมรำลึกถึงนายบิลลี่ “พอละจี รักจงเจริญ” แกนนำกะเหรี่ยง หลานปู่คออี้ ที่เรียกร้องสิทธิชุมชนและสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองกะเหรี่ยงบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน โดยมีการแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ด้วยการใส่ชุดชนเผ่าพื้นเมือง วางดอกไม้เพื่อรำลึกถึง และประกาศเจตนารมณ์ ปกป้องคุ้มครองสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองและติดตามคดีอุ้มฆ่าบิลลี่ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
นายสุรพงษ์ กองจันทึก อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า กรณีของบิลลี่และปู่คออี้ทำได้เกิดคุณูปการกับสังคมไทยและกลุ่มชาติไทยอย่างยิ่ง เพราะศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ได้บอกว่ากลุ่มชนของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น บ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน เป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายอื่นจะเข้ามาขัดแย้งไม่ได้ หรือ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ จะกล่าวหาว่าบุกรุกป่าไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดได้รับรองไว้แล้ว และยืนยันชัดเจนอีกด้วยว่า ปู่คออี้ไม่ได้บุกรุกป่า (อ่านประกอบ:เผาบ้านกะเหรี่ยงแก่งกระจาน ศาลปค.สูงสุด ให้กรมอุทยานฯ ชดใช้ 'ปู่คออี้' กับพวก คนละ 5 หมื่น)
“ศาลบอกว่า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ปฏิบัติตามมติ ครม. 3 ส.ค. 2553 เกี่ยวกับแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง และให้ใช้กับกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มที่มีปัญหาทำนองเดียวกัน มีหลัก 5 ด้าน ได้แก่ อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ สัญชาติ วัฒนธรรม การศึกษา และการจัดการทรัพยากร ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามนี้ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย” นายสุรพงษ์ ระบุ
ด้านนายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า ปัจจุบันไม่ควรเกิดเหตุการณ์อุ้มหายหรืออุ้มฆ่าอีกแล้ว ไม่ว่าในเพศใด แต่ประเทศไทยยังเกิดขึ้นกับบิลลี่ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก เนื่องจากเราเกิดมาในยุคดิจิทัลที่ไม่ควรมีใครถูกลบออกจากระบบใด ๆ หรือสูญหายโดยไร้ร่องรอย ทั้งนี้ เห็นว่า ระบบอำนาจนิยมในไทยมีปัญหามาก ซึ่งสังเกตได้ว่า การอุ้มหายเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่ควรมีใครถูกบังคับให้สูญหาย โดยอำนาจในการดูแลเป็นหน้าที่ของรัฐ แต่ในประเทศไทยและอำนาจนิยม เจ้าหน้าที่รัฐมักใช้ช่องว่างที่ไม่มีกฎหมายเอาผิดการอุ้มหายหรืออำพรางศพ จะเอาผิดไม่ได้ จนกว่าจะไม่พบ 5 ปี ศาลจึงสั่งให้เป็นบุคคลสูญหาย
ทั้งนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐขัดแย้งกับคนที่ต่อต้านอำนาจรัฐในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นปัญหาหลายยุคหลายสมัย ซึ่งปัจจุบันมีความพยายามออกกฎหมายเพื่อให้เอาผิด ผู้บังคับบัญชาหรือผู้เกี่ยวข้องในการสั่งการหรือรู้เห็นให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทำการฆ่าอำพรางศพ หรือพยายามอุ้มหาย โดยออกกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหาย ตั้งแต่ปี 2560 แต่ยังไม่สำเร็จ
“ประเทศไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม แต่เราถูกทำให้เป็นอำนาจนิยมแบบไทเดียว ทั้งที่ยังมีไทลื้อ ไทม้ง ไทลาว เราพยายามเป็นรัฐที่มีศูนย์กลางควบคุม ทำให้เกิดปัญหากับคนชายขอบ โดยนำกฎหมายไปทับซ้อน ส่งผลให้มีข้อพิพาทเขตพื้นที่อุทยานทับที่ทำกิน ทั้งที่คนอยู่มาก่อนกฎหมาย” เลขาธิการ ครป. กล่าว และว่า กรณีบิลลี่มีช่องว่างทางกฎหมายที่เจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นอำนาจนิยมใช้ช่องว่างนี้มา แทนที่จะจัดวางการอยู่ร่วมกันและปกป้องคนไม่ให้สูญหายหรือได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสิน จึงกลายเป็นขั้วตรงข้าม เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐอาจมีผลประโยชน์ทั้งทางอำนาจและมิติของผลประโยชน์ในพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำประกาศเจตนารมณ์มี 4 ข้อเรียกร้อง ได้แก่ 1.ขอเรียกร้องภาครัฐให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาและดำเนินมาตรการยกระดับการปกป้องคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ และยอมรับความเป็นอยู่ในตัวตนและวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมือง ในฐานะพลเมืองของประเทสอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ทั้งในทางกฎหมาย ชีวิต และวัฒนธรรม และยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยทุกชนเผ่าตามกติกาสากลระหว่างประเทศและอนุสัญญาที่ประเทศไทยได้ลงนามในสัตยาบันไว้กับองค์การสหประชาติ
2.เพื่อคืนความยุติธรรมและเยียวยาชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน ขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหากรณีข้อพิพาทกฎหมายอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานทับที่ดินทำกินที่อยู่อาศัยและไล่ที่ชาวบ้านที่อยู่มาก่อน ร่วมถึงการขึ้นทะเบียนผืนป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกต้องดำเนินการแก้ไขปัยหาข้อพิพาทที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านที่อยู่มาก่อนให้จบสิ้นและเป็นธรรมทุกกรณี ก่อนที่จะมีดำเนินการขึ้นทะเบียนดังกล่าว
3.เพื่อป้องกันและยุติการอุ้มฆ่า อุ้มหาย หรือทำร้ายร่างกาย ข่มขู่คุกคาม นักต่อสู้ด้านสิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชน และสิทธิทางการเมืองทุกกรณี ขอให้รัฐบาลยกระดับการป้องกันคุ้มครองความปลอดภัยและออกมาตรการอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน เพื่อไม่ให้กรณีการอุ้มฆ่าบิลลี่หรือนายพอละจี เกิดขึ้น
4.ขอให้กำลังใจกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการ สืบสวนสอบสวน และจับกุมผู้กระทำผิดในการอุ้มฆ่าบิลลี่มาลงโทษโดยเร็ว และมิต้องกังวลต่ออิทธิพลที่มาขัดขวางและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินคดีจับกุมผู้กระทำความผิด เพราะประชาชนจะยืนอยู่เคียงข้างท่านเสมอ ตราบใดที่ยังรักษาตราชั่งแห่งความยุติธรรมเพื่อคืนความเป็นธรรมให้ครอบครัวบิลลี่และพี่น้องชาติพันธุ์อย่างถึงที่สุด .
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage