ศาลฎีกาฯลงโทษ ‘คมสันต์ เกิดพิทักษ์’ นายกเทศมนตรีพรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน ป.ป.ช. เงิน 10.4 ล. ที่ดิน 3 แปลง 5.8 ล. อ้างหลงลืม มีเยอะคิดว่ายื่นแล้ว สั่งให้พ้นตำแหน่ง จำคุก 2 เดือน ปรับ 8,000 บาท รอลงโทษ 1 ปี
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงาน ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 4 มิ.ย.2562 เผยแพร่ว่า เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2562 ศาลฎีกาแผกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา นายคมสันต์ เกิดพิทักษ์ นายกเทศมนตรีตำบลพรหมบุรี (ปากบาง) อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีในการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ต.พรหมบุรี (ปากบาง) โดยไม่แสดงเงินฝาก 10.4 ล้านบาท ที่ดิน 3 แปลง มูลค่า 5.8 ล้านบาท พิพากษาห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2556 และให้ผู้ถูกกล่าวหา พ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรี ต. พรหมบุรี ครั้งที่ 2 ที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันนับแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 จำคุก 4 เดือน และปรับ 16,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยได้รับโทษจาคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
สรุปคำพิพากษาดังนี้
พิเคราะห์คำร้อง เอกสารประกอบคาร้อง และคำให้การของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว เห็นว่า คดีวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องเรียกพยานมาไต่สวน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ต.พรหมบุรี (ปากบาง) ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2552 และพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2556 ต่อมา ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ต.พรหมบุรีครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2556 และยังดำรงตำแหน่งอยู่จนถึงปัจจุบัน ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 1/2557 ลงวันที่ 25 ธ.ค. 2557 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่นับแต่วันที่ 12 พ.ย.2561 ในการดำรงตำแหน่ง นายกเทศมนตรี ต.พรหมบุรีครั้งที่ 1 ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อผู้ร้อง กรณีพ้นจากตำแหน่งโดยไม่แสดงรายการเงินฝากธนาคารธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน 10,498,652.87 บาท ที่ดิน 1 แปลง ต.ชลอน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ราคา 1,200,000 บาท ที่ดิน 2 แปลง ต.พรหมบุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี 3,500,000 บาท และ 1,100,000 บาท และยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อผู้ร้องกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีโดยไม่แสดงรายการเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จากัด (มหาชน) จำนวน 759,734.01 บาท ที่ดิน 1 แปลง ต.ชลอน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ราคา 1,200,000 บาท ที่ดิน 2 แปลง ต. พรหมบุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ราคา 3,500,000 บาท และ 1,100,000 บาท และที่ดิน 1 แปลง ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี ราคา 5,000,000 บาท
ผู้ร้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหา ชี้แจงข้อเท็จจริงและเหตุผลของการไม่แสดงรายการทรัพย์สินให้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงว่า ไม่แสดงรายการเงินฝากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพราะหลงลืม ไม่แสดงรายการ เงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เพราะเข้าใจว่ายื่นแล้ว ส่วนที่ดินจังหวัดสิงห์บุรีมีหลายแปลง เข้าใจว่ายื่นครบถ้วนแล้ว และที่ดินจังหวัดอุดรธานีก็เข้าใจว่ายังไม่ถึงกำหนดต้องยื่น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่า ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2561 โดยมาตรา 3 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม นั้น คดีนี้จะใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม บังคับได้หรือไม่
องค์คณะผู้พิพากษา มีมติเสียงข้างมากว่า เนื่องจากมีบทเฉพาะกาลตามมาตรา 192 วรรคท้าย ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 บัญญัติว่าเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาและพิพากษาของศาล สำหรับคดีที่ยื่นฟ้องหรือยื่นคำร้องต่อศาลไว้แล้ว ก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ยังมีผลใช้บังคับอยู่ จนกว่าคดีจะถึงที่สุด และมาตรา 199 บัญญัติว่า การดำเนินคดีที่ดำเนินการกับผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น ในฐานะที่เป็นผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองที่ดาเนินการอยู่ในศาลแล้ว ให้ศาลที่รับไว้พิจารณา มีอำนาจดำเนินการต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยให้ถือเสมือนว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ยังมีผลใช้บังคับอยู่ ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 บัญญัติว่า บทบัญญัติในภาค 1 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย เว้นแต่กฎหมายนั้น ๆ จะได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ดังนั้น จึงให้ใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม บังคับแก่คดีนี้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิด ข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่ง นายกเทศมนตรี ต.พรหมบุรี (ปากบาง) ครั้งที่ 1 หรือไม่
เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 บัญญัติว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หมายความว่า ... (7) ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น และผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และผู้ร้องออกประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554 ข้อ 4 (6) (ก)
กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีหน้าที่ยื่นบัญชี แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2554 อันเป็นช่วงเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลพรหมบุรี ครั้งที่ 1 แม้ต่อมาผู้ร้องออกประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 แก้ไขเพิ่มเติมประกาศฉบับเดิม แต่ประกาศฉบับใหม่ยังคงกำหนดให้นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบล เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อผู้ร้องภายในสามสิบวัน นับแต่วันเข้ารับตำแหน่ง วันพ้นจากตำแหน่ง และวันที่พ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 32 และมาตรา 33 ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชี แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องกรณีพ้นจากตำแหน่ง ในการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลพรหมบุรี (ปากบาง) ครั้งที่ 1 โดยไม่แสดงรายการเงินฝากธนาคาร 1บัญชี และที่ดินรวม 3 แปลง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ผู้ถูกกล่าวหาไม่แสดงรายการเงินฝากธนาคาร 1 บัญชี และที่ดินรวม 4 แปลง ผู้ร้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงและเหตุผลของการไม่แสดงรายการทรัพย์สินให้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงว่า ไม่แสดงรายการเงินฝากธนาคารเพราะหลงลืม ไม่แสดงที่ดินจังหวัดสิงห์บุรีเพราะเข้าใจว่ายื่นแล้ว และไม่แสดงที่ดินจังหวัดอุดรธานีเพราะเข้าใจว่ายังไม่ถึงกำหนดต้องยื่น คำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการง่ายแก่การกล่าวอ้าง ไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้าหนักเพียงพอให้รับฟัง ประกอบกับในชั้นพิจารณาผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ พฤติการณ์ดังกล่าวมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น ซึ่งการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นหน้าที่สาคัญของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องปฏิบัติอันเป็นมาตรการในการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อให้เกิดการตรวจสอบผู้ใช้อานาจรัฐ
จึงฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีในการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลพรหมบุรี (ปากบาง) ครั้งที่ 1 มีผลห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคสอง เมื่อผู้ถูกกล่าวหาเข้าดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลพรหมบุรี ครั้งที่ 2 ในระยะเวลาที่ต้องห้ามดังกล่าว ซึ่งศาลได้มีคาสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้แล้ว ผู้ถูกกล่าวหา จึงต้องพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้หยุด ปฏิบัติหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 17 วรรคสอง นอกจากนี้ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหายังเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ด้วย
พิพากษาว่า นายคมสันต์ เกิดพิทักษ์ ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ต.พรหมบุรี (ปากบาง) ครั้งที่ 1 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 32 และมาตรา 33 ห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2556 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรี ต.พรหมบุรี (ปากบาง) ครั้งที่ 1 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคสอง และให้ผู้ถูกกล่าวหา พ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรี ต. พรหมบุรี ครั้งที่ 2 ที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันนับแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตาแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 17 วรรคสอง กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำคุกกระทงละ 2 เดือน และปรับกระทงละ 8,000 บาท รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 4 เดือน และปรับ 16,000 บาท ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยได้รับโทษจาคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก.
(คดีหมายเลขแดงที่ อม.12/2562-31 ม.ค.2562)
อ่านประกอบ:
4 คดีทรัพย์สินนักการเมืองท้องถิ่น ศาลฎีกายกคำร้อง เหตุ ป.ป.ช.ยื่นหลัง กม.ใหม่บังคับ
สรุปคำพิพากษาฟัน 4 นักการเมืองท้องถิ่น จ.ปัตตานี สกลนคร กาญจนบุรี ตาก ไม่ยื่นบัญชีฯ
พฤติกรรม ส.อบจ.ลำปาง ซุกเงินฝาก เงินกู้ยืม ป.ป.ช.-ศาลจำคุก 1 เดือน รอลงโทษ 1 ปี
ศาลฎีกาฯสั่งจำคุก 2 เดือน ไม่รอลงโทษ นักการเมืองท้องถิ่น จ.อุตรดิตถ์ ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน
ศาลฎีกาฯคุก 1 เดือน รอลงโทษ 1 ปี 2 นักการเมืองท้องถิ่น จ.สุราษฎร์ฯ-ร้อยเอ็ดไม่ยื่นบัญชีฯ
ศาลฎีกาฯสั่งคุก 1 เดือน-รอลงโทษ 1 ปี รองฯเทศมนตรี จ.นครสวรรค์ ซุกหุ้น-เงินฝาก 13 บัญชี
ศาลฎีกาฯยกคำร้อง 2 นักการเมืองท้องถิ่น จ.ลำพูน-นราฯ ซุกบัญชีฯ เหตุ ป.ป.ช.ยื่นหลัง กม.บังคับ
ดูชัดๆ อดีตปธ.สภา อบจ.สมุทรสาคร ซุกหุ้น 2 บ. ศาลฎีกาฯฟันยื่นบัญชีฯเท็จ
อย่าลืมฉัน! สมบัติ-นพ.วีระวุฒิ-เมียอริสมันต์ มีคดีรวยผิดปกติในศาลฎีกาฯปี 62
รายชื่อ 190 คนไม่ยื่นบัญชีฯ-ซุกทรัพย์สินรอบปี 61 - รองนายก อบต.อื้อ 93 ราย
เผยปี 2561 คดีไม่ยื่นบัญชีฯ-ซุกทรัพย์สิน ทะลัก 190 คน ‘ธาริต-พงศ์พัฒน์-ชูวิทย์’ติดกลุ่ม