
‘ศาลปกครองสูงสุด’ สั่งไม่รับพิจารณา คดีฟ้อง ‘ผอ.เขตปทุมวัน’ เลินเล่อ-ไม่ตรวจสอบความกว้างถนน ก่อนออกหนังสือรับรองเขตทาง ก่อนสร้าง ‘ตึกสูง’ ซอยร่วมฤดี เหตุยื่นฟ้องเกินกำหนด 1 ปี-ไม่ใช่การฟ้องเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
............................................
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ 1119/2568 ในคดีหมายเลขดำที่ 2306/2564 หมายเลขแดงที่ 701/2565 ของศาลปกครองกลาง ที่บริษัท ลาภประทาน จำกัด กับพวกรวม 2 คน (ผู้ฟ้องคดี) ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกฟ้องคดี) ว่า กรุงเทพมหานครกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี
กรณีผู้อำนวยการเขตปทุมวัน ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยไม่ตรวจสอบความกว้างของเขตทางในซอยร่วมฤดีและออกหนังสือรับรองความกว้างของเขตทางที่ไม่ถูกต้องให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้อาศัยเอกสารดังกล่าวประกอบการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่พิเศษในซอยร่วมฤดี ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และดำเนินการก่อสร้างโดยสุจริต
แต่ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองรื้อถอนอาคารดังกล่าว ทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับความเสียหายจึงนำคดีมาฟ้องเรียกค่าเสียหาย ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา
ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 โดยผู้ฟ้องคดีทั้งสองจะต้องยื่นฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีแต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ สืบเนื่องมาจากผู้อำนวยการเขตปทุมวันได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองระงับการก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารจนกว่าจะได้รับใบอนุญาตหรือได้รับใบแจ้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในส่วนใดๆ ของอาคาร ดำเนินการแก้ไขและยื่นคำขอรับใบอนุญาตก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร แต่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้ดำเนินการ
จนกระทั่งผู้อำนวยการเขตปทุมวัน มีคำสั่งให้รื้อถอนอาคารของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง อันเป็นการดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ.310/2555 หมายเลขแดงที่ อ.588/2557 ซึ่งคดีดังกล่าวมีนายแพทย์สงคราม ทรัพย์เจริญ กับพวกรวม 24 คน ได้ยื่นฟ้องผู้อำนวยการเขตปทุมวัน เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ต่อศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองกลาง) ว่า
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ โดยไม่ดำเนินการกับอาคารพิพาทของผู้ร้องสอดทั้งสอง (ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง) โดยข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า ถนนซอยร่วมฤดีตั้งแต่ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีทั้งสองมิได้มีเขตทางกว้าง 10.00 เมตร ตลอดแนว การก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง จึงไม่ชอบด้วยข้อ 2 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น พิพากษาให้ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน และหรือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ใช้อำนาจตามมาตรา 40 มาตรา 41 มาตรา 42 และมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ดำเนินการกับผู้ฟ้องคดีทั้งสองในคดีนี้
เมื่อหลังจากที่ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้มีคำสั่งตามมาตรา 40 มาตรา 41 แล้ว แต่ผู้ฟ้องคดีไม่ดำเนินการ ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน จึงได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองรื้อถอนอาคารตามมาตรา 42 โดยปิดคำสั่ง ณ อาคารหรือบริเวณที่ตั้งอาคารที่ทำการของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2559
จึงต้องถือว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองทราบคำสั่งเมื่อพ้นกำหนดสามวันนับแต่วันที่ได้มีการปิดประกาศดังกล่าว ตามมาตรา 47 ทวิ คือวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 ซึ่งหมายความว่าในวันดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีทั้งสองรู้หรือควรรู้ถึงเหตุที่ไม่อาจแก้ไข ดัดแปลงอาคาร และไม่สามารถใช้สอยหรือใช้ประโยชน์ในอาคารของผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้แล้ว
ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงชอบที่จะยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี คือต้องยื่นฟ้องภายในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2560 แม้ผู้อำนวยการเขตปทุมวันจะได้มีคำสั่งลงวันที่ 21 กันยายน 2564 ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองรื้อถอนอาคารทั้งหมดอีกเป็นครั้งที่สอง ก็มีผลเป็นเพียงการยืนยันคำสั่งแรกเท่านั้น หาได้มีผลเปลี่ยนแปลงวันที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างในอุทธรณ์แต่อย่างใด
ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีนำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลปกครองเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 จึงเป็นการยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ซึ่งการฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องเพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองที่จะได้รับค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดเท่านั้น หาใช่เป็นการฟ้องเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมแต่อย่างใด
รวมทั้งมิได้มีเหตุจำเป็นอื่นที่ศาลจะรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาได้ตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ประกอบกับข้อ 30 วรรคสอง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ศาลปกครองจึงไม่อาจรับคำฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาได้ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา