
ดีอี-ตร.แถลงผลจับกัมเครือข่ายขายข้อมูล ปชช.ให้สแกมเมอร์ 9 ล้านรายชื่อ ด้าน ‘ไชยชนก’ แจงผลหารือ Line-Google-Facebook รับปากจะแก้ไขระบบแก้ปัญหาแสดงผลเว็บพนัน ด้าน ‘จิรภพ’ แจงตอนนี้ยังไม่พบมีนักการเมืองหรือตำรวจมีเอี่ยว แต่พร้อมสอบขยายผลต่อไป
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี ร่วมแถลงข่าวร่วมพล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.), พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์เชาวนาศัย ผบช.ก., พล.ต.ต.สุวัฒน์แสงนุ่ม, พล.ต.ต.โสภณสารพัฒน์, พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ป., พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว, พ.ต.อ.ปทักษ์ ขวัญนา รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป., ว่าที่ พ.ต.อ.เนติวิทย์ ธนาสิทธิ์นิติกุล ผกก.2 บก.ป., พ.ต.อ.สุริยะศักดิ์ จิราวัสน์ ผกก.3 บก.ป., พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป., พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล, ร.ต.อ.อมรพันธุ์ นิติธีรานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ รักษาการ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ ร.ท.ฐานันดร สำราญสุข หัวหน้าศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC Eagle Eye) ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ได้จับกุมเพจขายข้อมูลบุคคลให้สแกมเมอร์ 9 ล้านรายชื่อ ซึ่งมีประชาชนตกเป็นเหยื่อไปแล้ว 4 พันคน เสียหาย 298,103,128.13 บาท
โดยที่ไปที่มาของการจับกุมเกิดขึ้นจาก หน่วยเฝ้าระวัง PDPC Ego Eye ตรวจพบกลุ่ม เฟซบุ๊กชื่อ "การตลาดสายเทา" ที่ทำการซื้อ-ขายข้อมูลส่วนบุคคล โดยเสนอขายข้อมูลส่วนบุคคลลในราคาประมาณ 3,000-5,000 บาท ต่อจํานวน 100,000 รายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามจึงทำการล่อซื้อข้อมูลจาก 6 เพจ
ต่อมาวันที่ 6 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นําโดย เจ้าหน้าที่ตํารวจ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตํารวจ สอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกับเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Committee , PDPC) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้เปิดปฏิบัติการ “Cut Down Scam – สยบเครือข่ายค้าข้อมูล ส่วนบุคคล” เข้าตรวจค้น 8 เป้าหมาย (พื้นที่จังหวัดเชียงราย ,อุดรธานี ,สระบุรี ,ปทุมธานี ,สมุทรสาคร , ประจวบคีรีขันธ์ ,ชลบุรี และภูเก็ต) และ จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ รวม 6 คน ได้แก่1. นายจิรวุธ 2. นายผดุงเกียรติ 3. นายบุณยสิทธิ์ 4. น.ส.ปรีดาวรรณ์ 5. น.ส.สุภัคชญา 6.นายจิรกร
โดย 6 คนนี้ปัจจุบันเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาว่าได้กระทําความผิดฐาน “เป็นผู้เก็บรวบรวม ครอบครอง หรือเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล หรือผู้ถึงแก่กรรม ซึ่งทําให้สามารถระบุตัวบุคคลหรือผู้ถึงแก่กรรมนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อนําไปใช้หรือให้บุคคลอื่นใช้ในการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิด ทางอาญาอื่นใด กระทําโดยการซื้อ เสนอซื้อ ขาย เสนอขาย แลกเปลี่ยน เสนอแลกเปลี่ยน หรือแสวงหา ประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย” อัตราโทษ จําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 มาตรา 11/2
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ตรวจยึดของกลาง และนำมาจัดแสดงต่อหน้าสื่อมวลชน มีรายละเอียดดังนี้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ จํานวน 6 เครื่อง 2. โทรศัพท์มือถือ จํานวน 17 เครื่อง,3. อุปกรณ์สํารองข้อมูล จํานวน 9 เครื่อง 4. สมุดบัญชีธนาคาร จํานวน 7 บัญชี,5. สิ่งของอื่นๆ (อุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ , สมุดจดบันทึกฯ) จํานวน 4 รายการ
โดยของกลางทั้งหมดที่ถูกนำมาจัดแสดงนั้น มาจากการบุกเข้าตรวจค้นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 พื้นที่จังหวัดเชียงราย , อุดรธานี , สระบุรี , ปทุมธานี , สมุทรสาคร , ประจวบคีรีขันธ์ , ชลบุรี และ ภูเก็ต
ทั้งนี้จากการตรวจสอบ พบข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกซื้อ-ขายรวมกว่า 9 ล้านรายชื่อ จากการล่อซื้อ 2.37 ล้านรายชื่อ และพบเพิ่มจากการตรวจค้นอีก 6 ล้านรายชื่อ) รวมถึงข้อมูลบัตรประชาชน 18 ใบ
ซึ่งจาก 9 ล้านรายชื่อ ตรวจสอบพบว่ามีประชาชนที่ถูกหลอกลวง รวมถึงหลอกลวงผ่านแอปเงินกู้เถื่อนและเว็บพนันออนไลน์ได้รับความเสียหายแล้วกว่า 4,000 คน โดยมีมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 298 ล้านบาท
ขณะที่นายไชยชนกได้กล่าวถึงมาตรการเพิ่มเติมและผลการประชุมคณะกรรมการภายใต้ พ.ร.ก. มาตรา 13 เพื่อยกระดับการแก้ไขปัญหาภัยไซเบอร์:โดยมีรายละเอียดดังนี้
-การสื่อสารกับผู้เสียหาย: กระทรวงจะเร่งแจ้งให้ประชาชนกว่า 9 ล้านรายชื่อที่ข้อมูลรั่วไหลทราบ เพื่อให้ระมัดระวังและป้องกันตนเอง
-ความร่วมมือกับแพลตฟอร์ม: ทางกระทรวงได้มีการสระสานงานกับแอปพลิเคชั่นTikTok, LINE, Google โดยได้ เข้าร่วมประชุม LINE ซึ่งกำลังประสานสำนักงานใหญ่ที่ญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยืนยันตัวตนผู้ใช้ ซึ่งปัจจุบันใช้เพียงเบอร์โทร/อีเมล ยืนยันตัวตน ขณะที่ Google ยืนยันว่าจะรับโจทย์ไปปรับปรุงระบบ Search Engine ไม่ให้แสดงเว็บพนันออนไลน์ ส่วน Facebook อยู่ระหว่างการหารือระดับภูมิภาคเพื่อความร่วมมือเพิ่มเติม
-มาตรการเกี่ยวกับบัญชีม้า: สัปดาห์หน้าจะมีการหารือกับธนาคารเพื่อพัฒนาระบบการประเมินกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงจากการใช้บัญชีม้า เพื่อระงับบัญชีอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-มาตรการสำหรับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) ได้แก่
1.หยุดสัญญาณโทรออกนอกประเทศ: มีมาตรการเด็ดขาดในการตรวจสอบและระงับสัญญาณที่เล็ดลอดไปใช้ในประเทศเพื่อนบ้าน หากยังพบความผิดปกติหลังวันจันทร์นี้ จะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเข้มงวด
2.จำกัดจำนวนซิมต่อบุคคล: กำหนดให้แต่ละบุคคลสามารถถือครองซิมการ์ดได้ไม่เกิน 5 ซิม เพื่อลดการใช้ซิมจำนวนมากของขบวนการมิจฉาชีพ
3.ระงับการลงทะเบียนซิมผ่าน "ลูกตู้" (ตัวแทนจำหน่าย): ห้ามตัวแทนจำหน่ายลงทะเบียนซิม เว้นแต่จะใช้เครื่องยืนยันตัวตนแบบชิปแอนด์พินที่เทียบเท่าบัตรประชาชน ซึ่งขณะนี้ลูกตู้ส่วนใหญ่ทั่วประเทศไม่สามารถลงทะเบียนซิมได้แล้ว หากพบการฝ่าฝืนจะดำเนินคดีและโอเปอเรเตอร์ต้องรับผิดชอบ
4.ป้องกันความเสี่ยงในพื้นที่ชายแดน: สำหรับพื้นที่เสี่ยงใกล้ชายแดน จะมีการลงทะเบียนซิมเฉพาะเจาะจงกับเสาสัญญาณนั้นๆ และซิมที่ไม่ได้ลงทะเบียนจะไม่สามารถใช้งานได้ เพื่อป้องกันการดึงสัญญาณไปใช้โดยกลุ่มมิจฉาชีพในต่างประเทศ
5.การระงับซิมที่ผิดปกติ: ภายในเวลาประมาณ 1 เดือน มีการระงับซิมที่มีพฤติกรรมการใช้งานผิดปกติแล้วกว่า 90,000 ซิม
ขณะที่ พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าวเสริมว่าหลังจากนี้ ทาง PDPC จะนำรายชื่อทั้ง 9 ล้านชื่อไปตรวจสอบที่มาว่ารั่วไหลมาจากจุดไหน พร้อมเตือนเน้นย้ำว่าผู้ที่นำข้อมูลส่วนบุคคลไปขายเพื่อการก่ออาชญากรรมผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของคนที่มีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว จะมีโทษตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มาตรา 11/2 ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว ได้มีการสอบถามเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของนักการเมือง กับขบวนการสแกมเมอร์ โดย พล.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า ปัจจุบันยังไม่พบความเชื่อมโยงกับนักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่จะมีการสืบสวนขยายผลต่อไป หากพบหลักฐานชัดเจนจะดำเนินคดีทันที
พล.ต.อ.จิรภพ กล่าวทิ้งท้ายว่าขอเชิญชวนประชาชนและสื่อมวลชนให้ส่งข้อมูลหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด เพื่อให้หน่วยงานสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ พร้อมกล่าวย้ำอีกว่าปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์เป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกประเทศกำลังเผชิญ และคณะทำงานจะใช้ทุกวิถีทางทั้งการป้องกัน ปราบปราม และสืบสวน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ดีที่สุด

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา