
UTA เผยดึง ‘มิวนิก’ ร่วมบริหารสนามบินอู่ตะเภากับ ‘นาริตะ’ ของญี่ปุ่น ยืนยันพร้อมสละเงื่อนไขไฮสปีด แต่สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนต้องชัดก่อน ด้าน ‘จุฬา’ โยนการบ้านให้เอกชนไปทำตัวเลขผู้โดยสารที่แท้จริงตลอดอายุสัมปทาน 50 ปีมาด้วย ระบุ 3 พ.ย.นี้ ‘พิพัฒน์’ นัดประชุมบอร์ด EEC นัดแรก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 แหล่งข่าวจากบมจ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) เอกชนผู้รับสัมปทานโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เปิดเผยสำนักข่าวอิศราว่า ปัจจุบันเงื่อนไขการรับมอบหนังสือให้เริ่มงาน (NTP) จากกองทัพเรือและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เหลือเพียงเงื่อนไขของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่จะต้องมาต่อเชื่อมกับโครงการสนามบิน ซึ่งได้ลงนามใน MOU ร่วมกับ EEC ว่าจะไม่รอเงื่อนไขนี้แล้ว และยินยอมลงทุนไปก่อน ซึ่งตอนนี้เท่าที่คุยกันก็จะต้องลดขนาดอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ลงจากรองรับผู้โดยสาร 6 ล้านคน/ปี เหลือ 3 ล้านคน/ปี และทางเอกชนก็ต้องการความชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนที่เคยขอกับทาง EEC ไป โดยทาง EEC ยังไม่ให้ความชัดเจนอะไร ทาง UTA ก็รอความชัดเจนอยู่
นอกจากนี้ ทาง UTA ยังเปิดเผยด้วยว่า ในการบริหารสนามบิน ตามแผนงาน UTA ว่าจ้างบริษัท นาริตะ อินเตอร์เนชั่นแนล แอร์พอร์ต คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาช่วยบริหารไว้แล้ว ล่าสุด UTA ได้เพิ่ม Flughafen München GmbH (FMG) บริษัทผู้บริหารสนามบินมิวนิก หรือที่รู้จักในชื่ออย่างเป็นทางการว่า ท่าอากาศยานฟรันซ์ โยเซฟ ชเตราสส์ (Franz Josef Strauss International Airport) ประเทศเยอรมนี เพื่อมาช่วยดูแลงานทางเทคนิคของสนามบินอีกทางหนึ่งด้วย
@ถกบอร์ด EEC นัดแรก 3 พ.ย.นี้
ด้านนายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ EEC เปิดเผยว่า ในวันที่ 3 พ.ย.นี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้นัดประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) EEC ซึ่งถือเป็นการประชุมบอร์ด EEC นัดแรกภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งวาระการประชุมยังไม่มีอะไรมาก เป็นการรับทราบความคืบหน้าแผนงานต่างๆมากกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีโอกาสที่จะหารือเกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่จะลากไปถึง จ.ตราดตามข้อเสนอของนายพิพัฒน์หรือไม่ นายจุฬาตอบว่า ยัง น่าจะคุยคร่าวๆก่อน และต้องรอข้อมูลจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก่อนว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ เพราะทราบว่าทางรฟท.ก็ต้องเสนอให้คณะกรรมการกำกับสัญญาโครงการพิจารณาก่อน ส่วนที่บจ.เอเชีย เอรา วัน (ซี.พี.) ทำหนังสือถึงอัยการสูงสุด 18 ประเด็นนั้น ไม่ทราบ ต้องไปถาม รฟท.เอง
ส่วนกรณีที่ UTA ขอสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนในโครงการสนามบินอู่ตะเภานั้น นายจุฬาระบุว่า ขอมาประมาณ 10 กว่าข้อ ในภาพรวมล้วนเป็นมาตรการทางภาษีทั้งหมด อาทิ ขอยกเว้นภาษีขาเข้า ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับพื้นที่ปลอดภาษี การให้สิทธิพิเศษผู้ที่ใช้จ่ายใน Free Trade Zone มากกว่า 200,000 บาท/ปี ไม่ต้องเสียภาษี เป็นต้น ซึ่งทาง UTA ต้องการให้ EEC เสนอให้บอร์ด EEC และครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบโดยเร็ว ซึ่งตอนนี้ทาง EEC ยังไม่ได้ดูอะไรเสียทีเดียว แต่ก็ได้ให้ UTA ไปทำประมาณการผู้โดยสารของสนามบินอู่ตะเภามาใหม่ก่อน เพราะในข้อเสนอที่ต้องการลดขนาดอาคารผู้โดยสารเหลือ 3 ล้านคน/ปีนั้น EEC ต้องการทราบเพิ่มเติมว่า แล้วตลอดระยะเวลาสัมปทาน 50 ปี ผู้โดยสารที่ควรจะเป็นนั้น ควรมีจำนวนเท่าไหร่แน่
เมื่อถามว่า แสดงว่าแนวโน้มอาคารผู้โดยสารที่ลดขนาดเหลือรองรับ 3 ล้านคน/ปี อาจจะลดลงอีกใช่หรือไม่ เลขาธิการ EEC ตอบว่า ตอนนี้ตัวเลขยังอยู่ที่ 3 ล้านคน/ปี แต่ EEC ต้องการพิจารณาว่า แล้วตลอดอายุสัมปทาน 50 ปี จำนวนผู้โดยสารควรอยู่ที่เท่าไหร่กันแน่ และอัตราการเติบโตของผู้โดยสารควรเป็นอย่างไรด้วย แต่เท่าที่คาดการณ์จากที่ EEC ตั้งไว้ว่าตลอดอายุสัมปทานควรมีผู้โดยสารรวมที่ 60 ล้านคน/ปี น่าจะน้อยกว่านี้ เพราะปัจจัยด้านการพัฒนาของสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองที่ก็ต้องขยายเพิ่มขึ้น

จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ EEC

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา