
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี-หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เชิญ 3 ผู้ทรงคุณวุฒิ แลกเปลี่ยนความเห็น ‘ประเทศต้องการอะไรจากพรรคการเมือง’ - สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.อว. รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ชี้ ประชาธิปัตย์ต้องปรับ ประเทศถึงเปลี่ยน ชู 3 องค์ประกอบ ผู้นำครบเครื่อง แนะ รีเซ็ตพรรค-รอก๊อกสอง ด้าน จรีพร จารุกรสกุล ซีอีโอดับบิลเฮชเอ หวัง ยังไม่ถึงจุดต่ำสุด เชื่อหลังเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ขณะที่ บรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหารกลุ่มเคเคพี โยนโจทย์ มั่งคั่ง-ทั่วถึง-ยังยืน โอด 5 กลุ่มขวางปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 28 ตุลาคม 2568 ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเปิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ‘ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง’ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิร่วมแลกเปลี่ยน ได้แก่ นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ น.ส.จรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอกลุ่ม WHA คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมี กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) สส. อดีตสส. และสมาชิกพรรคเข้าร่วมรับฟังและซักถาม
นายอภิสิทธิ์กล่าวเปิดงานว่า การจัดงานในครั้งนี้เกิดได้มีที่มาหลังจากที่ประชุมพรรคเลือกกก.บห.พรรคชุดใหม่ จากสิ่งที่เราตั้งใจมาทำงานในนามของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงสภาพการเมืองในปัจจุบัน 2 เรื่อง เรื่องที่หนึ่ง อยากให้การเมืองกลับมาสนใจภาพใหญ่ของประเทศ ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่สุด หากเราต้องการยกระดับของคุณภาพชีวิตประชาชนทั่วไป และ เรื่องที่สอง อยากแสดงให้เห็นว่า การเมืองต้องพร้อมที่จะรับฟัง จึงอยากให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แสดงความคิดได้อย่างเต็มที่และอิสระว่า ประเทศไทยต้องการอะไร วันนี้เราต้องการอะไรจากพรรคการเมือง เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาประเทศ
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวสรุปว่า การจัดงานในครั้งนี้ ไม่ได้มองในเชิงนโยบาย แต่มองในเชิงของการปรับทิศทาง วิธีคิดของนักการเมืองในการนำพาประเทศต่อไป
“ในยุคปัจจุบันจะเห็นว่า เกือบทุกเรื่องจะถูกผลักว่า มีคำตอบ ขาว หรือ ดำเท่านั้น ผู้ทรงคุณวุฒิได้กล่าวว่า มีเรื่องของความพอดีในการผลักดันความเปลี่ยนแปลง แต่ในทางการเมืองขณะนี้ทั่วโลก พรรคการเมืองที่พยายามเสนออะไรที่อยู่บนความพอดีแทบจะยืนอยู่ไม่ได้ เพราะถูกความสุดโต่งของทั้งสองข้างถล่มอย่างมีพลังมาก”นายอภิสิทธิ์กล่าว

@ ‘สุวิทย์’ ชี้ โลกป่วน-ไทยป่วย
นายสุวิทย์กล่าวว่า โลกป่วนแต่ตอนนี้ไทยป่วย ถ้าโลกป่วนแต่การเมืองนิ่ง เศรษฐกิจจะมาเอง เพราะมีศักยภาพ แต่โชคร้าย โลกป่วนแล้ว แต่ยังป่วยอีก เราต้องรับมือกับภัยคุกคามมากกว่าที่จะรับสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อแปลงเป็นโอกาสคำถามคือ พรรคการเมืองที่จะตอบโจทย์ภาพใหญ่จะเป็นอย่างไร
“คำถามในเชิงโครงสร้าง เราเปลี่ยนประเทศมาถึงจุดหนึ่ง เราเปลี่ยนจากประเทศที่ขับเคลื่อนโดยทรัพยากรธรรมชาติ หรือ แรงงานราคาถูกมาสู่การมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล แต่เราไม่สามารถก้าวข้ามมาสู่นวัตกรรมได้ เป็นปัญหาที่ปล่อยค้างมานาน เรียกว่า หุบเขามรณะ ถ้าเราแข็งแรงพอเราจะกล้าที่จะกระโดดข้าม”นายสุวิทย์กล่าวและว่า
“ถ้าพรรคการเมืองปรับ ประเทศไทยเปลี่ยน หวังว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์ปรับ ประเทศไทยก็จะเปลี่ยน”นายสุวิทย์กล่าว
@ ปลดล็อกวงจรอุบาทว์ 3 ป.
นายสุวิทย์กล่าวว่า สิ่งที่พรรคการเมืองต้องปลดล็อกให้ได้ คือ วงจรอุบาทว์ทางการเมือง หรือ เรียกว่า วงจร 3 ป. ย่อมาจาก ปฏิวัติรัฐประหาร ประชาธิปไตยเทียม ประท้วงต่อต้าน วงจรนี้ทำให้รัฐบาลที่ผ่านมาไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้น รัฐบาลที่น่าเชื่อถือต้องมี 3 สิ่งในเวลาเดียวกัน คือ หนึ่ง มาด้วยความชอบธรรม สอง มีคุณธรรมและจริยธรรม และสาม มีความสามารถ
นายสุวิทย์กล่าวว่า ระบบคิด ระบบคุณค่าที่บกพร่องในสังคมไทยตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันอยู่ 2 ชุด ชุดแรกอำนาจนิยม อุปถัมภ์นิยม และอภิสิทธิ์ชน เป็น รัฐพันลึก (Deep State) ชุดที่สอง วัตถุนิยม บริโภคนิยม และสุขนิยม ซึ่งเป็นเรื่องของการเปลี่ยนระบบคิด ระบบคุณค่าของคนในสังคม
“ถ้าพรรคการเมืองยังสายตาสั้น คิดแต่เรื่องเอาใจโหวตเตอร์ จะไม่มีทางต่อภาพให้ไปในทิศทางที่จะทำอย่างไรจะรับมือโลกป่วน เปลี่ยนคนป่วย เปลี่ยนยักษ์หลับในอาเซียนให้ลุกขึ้นมาได้อย่างไร”นายสุวิทย์กล่าว
@ 3 องค์ประกอบ ผู้นำครบเครื่อง
นายสุวิทย์กล่าวว่า ผู้นำทางการเมืองต้องครบเครื่องด้วย 3 องค์ประกอบ หนึ่ง มีวิสัยทัศน์ สอง มีศีลธรรม สาม เป็นนักปฏิบัติ
“leader ที่มี 3 องค์ประกอบ เขารู้จักแยกแยะระหว่าง National interest กับ Private Interest leader บางคนซ่อนรูป hidden agenda เยอะ looking good เยอะ เราต้องการ bing good พรรคการเมืองในประเทศไทย ถ้าจะเปลี่ยนประเทศได้จะต้องเริ่มจากในเชิงคุณภาพ ไม่ใช่เชิงปริมาณของการดูดโน่น ดูดนี่ ดูดอะไรเข้ามาหมด ไม่ได้พาดพิงพรรคการเมืองไหน แต่ผม against เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว รวมถึงเรื่องงูเห่า ผมถือว่าเป็น Deep State อันหนึ่ง”นายสุวิทย์กล่าว
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงเปิดให้แสดงความคิดเห็นและตั้งคำถาม นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถามว่า 33 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยชนะการเลือกตั้งอีกเลย ทำอย่างไรให้พรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง
นายสุวิทย์กล่าวว่า ก่อนชนะการเลือกตั้งต้องชนะใจประชาชน การชนะใจประชาชนไม่ใช่นโยบายประชานิยม แต่จะต้องทำให้ประชาชนมองว่า เราอยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้ว ทำอย่างไรให้ทุกคนมองว่า ต้องคิดถึงลูกหลานตัวเองด้วย ประเทศต้องเปลี่ยน คำถามคือ จะทำอย่างไร แต่การจะอยู่ดีๆแล้วชนะการเลือกตั้งทันทีทันใดไม่ได้

@ รีเซ็ต พรรคประชาธิปัตย์
“เราจำเป็นต้องมองว่า ณ วันนี้ โจทย์ของพรรคประชาธิปัตย์มีสองเรื่อง นอกจากรีเซ็ตพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ต้องรีเซ็ตประเทศไทยในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรากำลังเปลี่ยนรากฐานของประเทศ ต้องใจเย็น พรรคประชาธิปัตย์ต้องมองมากกว่า 1 สเต็ป วันนี้สิ่งแรกที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องทำคือการรีเซ็ตพรรค ถ้าสเต็ปที่หนึ่งไม่ผ่านอย่าหวังสเต็ปที่สอง เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งปีหน้า ถ้ามี อย่าไปมองในเชิงปริมาณ ให้มองในเชิงคุณภาพ ทำอย่างไรให้ประชาชนซื้อในสิ่งที่เราเชื่อ”นายสุวิทย์กล่าว
นายสุวิทย์กล่าวว่า ภูมิทัศน์ทางการเมือง ณ วันนี้ แกนหนึ่ง คือ อนุรักษนิยม หรือ ภูมิใจไทย อีกแกนหนึ่ง คือ ก้าวหน้า หรือ พรรคส้ม ประชาธิปัตย์จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้จริง คือ การบาลานซ์กับสิ่งสองสิ่งในเวลาเดียวกัน คือ continuity กับ change ความสมดุล ความพอดี ระหว่างสิ่งเก่ากับสิ่งใหม่
“ต้องใจเย็น ยังรอได้ ตราบใดที่การเปลี่ยนแปลงอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าไม่อยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง ใจร้อนไปก็มีแต่ตกเหว ผมมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ ถ้าหัวหน้าอภิสิทธิ์ยังอยู่ คงไม่ใช่ก๊อกเดียว แต่คงไม่ไกลถึงขนาดที่ต้องร้องเพลงว่าขอเวลาอีกไม่นาน”นายสุวิทย์กล่าว
@ “เลือกตั้งจะทำให้เรามี revolution”
ด้าน.ส.จรีพรกล่าวว่า ในทุกโอกาสไม่จำเป็นต้องมีวิกฤตก็มีโอกาสได้ โอกาสต้องสร้าง ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ซึ่งจากประสบการณ์การทำงานภาคธุรกิจมาทั้งชีวิต ตอนนี้คือเรื่องของ Geopolitical Game จะไปต่ออย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงรอบนี้ เตรียมรับมืออย่างไร
“ระดับประเทศ ตอนนี้ผู้นำเราเป็นอย่างไร นวัตกรรมมีหรือไม่ หนี้สูงไหม ประชาชนเป็นอย่างไร หวังว่าจะเป็นจุดต่ำสุดของเราแล้ว และคิดว่าควรจะเกิด revolution ขึ้นมา ซึ่งหวังว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะสามารถเกิด revolution ขึ้นมา เพราะคิดว่า ประชาชนทนกันมานานมากแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น”น.ส.จรีพรกล่าว
น.ส.จรีพรกล่าวว่า ฝ่ายรัฐบาลตอนนี้เราต้องยอมรับว่ามีคอร์รัปชันสูงมาก ฝ่ายค้านค้านทุกเรื่อง ค้านเพราะมี hidden agenda ไม่ได้ค้านเพราะผลประโยชน์ของประเทศ ภาคเอกชนเกิดความเหลื่อมล้ำเยอะมาก รายใหญ่กินรายเล็ก กินรวบ กินทุกอย่างที่จะกินได้ ตลาดทุนและตลาดเงิน 2-3 ปีที่ผ่านมาใช้ตลาดเงินฟอกเงิน ใช้เงินออมของประชาชน เพื่อลงทุนในบริษัท บริษัทเล็ก เอสเอ็มอีรายย่อยแข่งขันไม่ได้ ไม่ปรับตัว คนยังอยู่เดิม ๆ สภาอุตสาหกรรมฯ สภาหอการค้าฯ ร้องขออย่างเดียว ไม่ได้ ต้องสู้ รัฐบาลยังช่วยตัวเองไม่รอด แล้วใครจะช่วย แต่ต้องรู้ว่าจะสู้อย่างไร ข้าราชการคอร์รัปชันสูงมาก ทำงานเพื่อรับใช้ภาคการเมือง จะอยู่อย่างไรถ้ารัฐบาลเปลี่ยนทุก 4-5 เดือน หรือ เปลี่ยนทุกปี วางแผนไม่ได้
น.ส.จรีพรกล่าวว่า ภาคการศึกษาโดยรวม ตัวเลขการศึกษาลดลงเรื่อย ๆ คืออะไร ถ้าไม่มีการปฏิวัติการศึกษา หรือ เปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่วางแผนระยะยาววันนี้ ประเทศจะมีอนาคตได้อย่างไร ขอให้การศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ ไม่เป็นของพรรคอะไรเลย ประชาชนยังถูกมอมเมาด้วยการรอแจกเงินใช่หรือไม่ หวย เฟคนิวส์ในสื่อโซเชียลมีเดีย เราจะต้องออกจากคอมฟอร์ดโซน
@ ค้านอย่างสร้างสรรค์
“ต้องมองภาพใหม่ เป็นรัฐบาลแล้วต้องมองประโยชน์ของประเทศ เงินที่มี อำนาจที่มียังไม่พอใช่หรือไม่ ถึงได้ทำสิ่งที่เป็นสีดำสีเทาขึ้นมา ตายไปละอายต่อประเทศชาติหรือเปล่า คนไทยรู้สึกอย่างนี้ ภาคเอกชนคุยกันเยอะมาก แต่พูดออกไปดังๆไม่ได้ พูดออกไปเดี๋ยวก็ซวย แต่ที่พูดนี้ไม่ได้เจาะจงใคร หรือ พรรคฝ่ายค้านคุณค้านเพื่อประเทศ เราดีใจที่มีฝ่ายค้านที่แข็งแกร่ง แต่ค้านอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่ค้านทุกเรื่อง ถ้าทุกคนทำหน้าที่ตัวเองได้ดี ประเทศไทยไม่มีวันนี้ มีแต่วันข้างหน้า ภาคราชการ ขอแค่ 5 ปี ไม่คอร์รัปชันก็พอ ข้าราชการอยู่ยาว นักการเมืองมาแล้วก็ไป ต้องแข็ง”น.ส.จรีพรกล่าว
นางจรีพรกล่าวว่า อนาคตอยากเห็นตัวผู้นำประเทศหรือซีอีโอเป็นอย่างไร แน่นอนว่า ความเป็นผู้นำ ทีมคอนดักเตอร์ ต้องคุมคนเก่งๆ มากมายขึ้นมา การวางแผนประเทศ ต้องไม่คิดว่า อยู่แค่รัฐบาล 3-4 ปี คิดว่าทำบุญให้กับประเทศ สิ่งที่นายอภิสิทธิ์มีความพร้อมในทุกเรื่อง และมีมากกว่านี้ ซึ่งสิ่งที่มีมาก คือ ความซื่อสัตย์สุจริต เราต้องการผู้นำที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง
“ขอได้หรือไม่ ทีมคอนดักเตอร์ พอเป็นรัฐบาลแล้ว รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงเลือกตามความสามารถ ไม่เอาโควตา เข้าใจว่า การเมืองเป็นเรื่องของการต่อรอง แต่อยากเห็นคนมีความสามารถ ไม่มี hidden agenda ได้หรือไม่ เรามีคนเก่งอยากมาช่วยประเทศมาก แต่คนเก่งไม่กล้ามา และเราขาด ผู้นำที่เด็ดขาดและมองภาพไปข้างหน้า”น.ส.จรีพรกล่าว
@ มั่งคั่ง-ทั่วถึง-ยั่งยืน
ขณะที่นายบรรยงกล่าวว่า ตนเองเชื่อในเสรีนิยมใหม่ ครั้งแรกที่นำเสนอ คือ สมัยนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่อง ปัจจัยเชิงสถาบัน 4 ประการ เศรษฐศาสตร์ทุกระบบมีเป้าหมายเหมือนกัน คือ จะทำอย่างไรให้คนในสังคม มั่งคั่ง ทั่วถึง และยั่งยืน
นายบรรยงกล่าวว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial revolution) เกิดขึ้นไม่ได้ และเผยแพร่อย่างรวดเร็วไม่ได้ ถ้าปัจจัยเชิงสถาบัน 3 ประการ ประการแรก ประชาธิปไตยใหม่ ประการที่สอง วิชาเศรษฐศาสตร์ ทำให้ทรัพยากรทั้งหลายใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพมาก และ ประการที่สาม เกิดตลาดการเงินยุคใหม่ เกิดการรวบรวมและจัดสรรทรัพยากรมากขึ้น
นายบรรยงกล่าวว่า ระบบการปกครองทางเศรษฐกิจ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศที่ชนะได้แยกออกเป็นสองค่าย คือ ค่ายเสรีนิยมใช้ทุนนิยม กับค่ายหลังม่านเหล็กใช้คอมมิวนิสต์
“ประเทศไหนใช้ทุนนิยมส่วนแบ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ประเทศที่ใช้เศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ก็ถอยลงเรื่อยๆ”นายบรรยงกล่าว
นายบรรยงกล่าวว่า ตั้งแต่ปี 1985 เป็นต้นมา เกิดสิ่งที่เรียกว่าโลกาภิวัฒน์ เศรษฐกิจมีอยู่สองเรื่อง คือ เศรษฐกิจโลกเติบโตในอัตรา 4.5-5 % ต่อปี และประเทศกำลังพัฒนาโต 2-3 เท่าของประเทศพัฒนาแล้ว เพราะเป็นการไล่กวดกัน
“20 ปีที่ผ่านมาประเทศพัฒนาส่วนใหญ่โตเท่าครึ่งถึงสองเท่าของเศรษฐกิจเฉลี่ยของโลก แต่มีอยู่ประเทศหนึ่งมี 2 ปีเท่านั้นที่โตเกินเฉลี่ยโลก หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ไม่ต้องบอกว่าประเทศอะไร จนทุกวันนี้ทุกคนไปเท่าไหร เราโตไม่ถึงสองในปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่าลัทธิการปกครองเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องเศรษฐกิจก็อีกเรื่องหนึ่ง”นายบรรยงกล่าว

@ 5 กลุ่ม เสียผลประโยชน์ จากการปฏิรูป
ผู้ดำเนินรายการถามว่า ศิลปะการปฏิรูปแบบไหนที่พรรคประชาธิปัตย์จะนำไปคิดต่อเพื่อตอบโจทย์ไม่ให้ไทยตกเทรนด์โลกและดีไซน์นโยบายออกมาได้รอบด้าน
นายบรรยงกล่าวว่า การปฏิรูปที่ดี คือ การเอาประโยชน์ที่กระจุกไปกระจาย ปัญหา คือ คนได้ ไม่ได้เร็ว สอง ไม่รู้ชัด เพราะได้คนละนิด แต่คนเสียเห็นได้ชัด จากประสบการณ์ตัวเอง สมัยที่พยายามปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ทำทุกอย่างจนเสร็จแล้ว นาทีสุดท้ายรัฐบาลสั่งคว่ำกฎหมายในสภา ฯ ไม่อยากเล่าต่อว่าใครสั่งบ้าง เพราะเกิดคนเสียประโยชน์ 5 กลุ่ม กลุ่มแรก นักการเมือง เพราะการปฏิรูปจะทำให้อำนาจการเมืองในรัฐวิสาหกิจหายไป กลุ่มที่สอง ข้าราชการประจำ เพราะเคยมีอำนาจ อำนาจจะหายไป กลุ่มที่สาม ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ กลุ่มที่สี่ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เพราะสิทธิประโยชน์มาก กลุ่มที่ห้า น่ากลัวสุด คือ คู่ค้ารัฐวิสาหกิจ เดิมที่เคยค้าง่าย
“ทำให้การปฏิรูปโคตรยากทุกเรื่อง เช่น ปฏิรูปการศึกษา เกิดไม่ได้ เพราะมีคนเสีย และไม่มีการสื่อให้ชัดว่า ปฏิรูปไปไหน เพราะอะไร ทำให้ไม่เกิดการปฏิรูป และคนมีอำนาจปฏิรูปเกือบทุกคน คือ คนที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จผ่านใต้ระบบเดิม เขาจึงรู้สึกว่ามันดีอยู่แล้วเสมอ”นายบรรยงกล่าว
นายบรรยงกล่าวว่า ขณะที่ การปฏิวัติ คือ ถอนรากถอนโคน เปลี่ยนระบบ ซึ่งประวัติศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า จะทำให้เกิดความวุ่นวาย กว่าจะตั้งหลักได้ต้นทุนมหาศาล ต้องการเตือนเด็กๆว่า อย่าปฏิวัติ กดดันเอาแค่ปฏิรูปพอ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา