
'อนุทิน' หารือ กกต. จัด 2 ประชามติ แก้ไขรัฐธรรมนูญ-ยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา พ่วงเลือกตั้ง ยืนยันไทม์ไลน์ยุบสภา 31 ม.ค. 69 ด้าน 'อิทธิพร' ขานรับ ชี้ประชาชนต้องกาบัตร 4 ใบ แต่จะช่วยประหยัดงบได้กว่า 1 พัน ล.
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อหารือแนวทางการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ และการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชา 2 ฉบับ คือ MOU 2543 (ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก) และ MOU 2544 (ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน) โดยเสนอให้จัดขึ้นในวันเดียวกับการลงคะแนนเลือกตั้ง สส. ทั่วไป
การหารือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแนวทางดำเนินการจัดทำประชามติให้เป็นไปตามกฎหมาย พร้อมรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจาก กกต. เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง สส. และการออกเสียงประชามติพร้อมกัน ให้เป็นไปด้วยความสุจริต เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย
นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวภายหลังการหารือว่า เป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนในภาพรวม เบื้องต้นคาดว่าประชาชนจะมีบัตร 4 ใบ ได้แก่ บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ (สส.เขต, สส.บัญชีรายชื่อ) และบัตรออกเสียงประชามติ อีก 2 ใบ (สำหรับประเด็นแก้รัฐธรรมนูญ และ MOU ไทย-กัมพูชา)
นายอิทธิพร ยอมรับว่า จำนวนบัตรที่เพิ่มขึ้นถือเป็นความท้าทายสำคัญ ที่อาจก่อให้เกิด "ความสับสน" ได้ ทั้งในส่วนของ "ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง" ในการใช้สิทธิ์ และ "เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่หน่วย" ซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดในการจัดการบัตร
"ถ้ามี 4 ใบ จะต้องมีวิธีการบริหารจัดการให้มั่นใจที่สุด ว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่หน่วย จะไม่มีความสับสน นี่คือการบริหารจัดการที่จะต้องลงรายละเอียด แล้วก็ทำให้ดีที่สุดต่อไป" นายอิทธิพร กล่าว
นายอิทธิพร กล่าวย้ำว่า กกต. พร้อมดำเนินการภายใต้ พ.ร.บ.ประชามติฉบับใหม่ แต่การดำเนินการทั้งหมดนี้ยังต้องขึ้นอยู่กับ "วิวัฒนาการ" หรือ "พัฒนาการ" ของกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าจะมีความคืบหน้าไปอย่างไร จนถึงเวลาที่จะมีการกำหนดวันเลือกตั้งต่อไป
นายอิทธิพร กล่าวถึงประเด็นงบประมาณว่า หากจัดประชามติและเลือกตั้งพร้อมกัน คาดว่าจะใช้งบประมาณประมาณ 9,000 ล้านบาทเศษ (ไม่ถึง 9,500 ล้านบาท) แต่หากแยกดำเนินการ จะใช้งบประมาณราว 10,000 ล้านบาท โดยมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งหน้าทั่วประเทศอยู่ที่ราว 53 ล้านคน
"ดังนั้นถ้าทำพร้อมกัน ประหยัดแน่ ๆ" นายอิทธิพร ระบุ
ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามกรณีความชัดเจนเรื่องทบทวน MOU 2543 และ 2544 ว่า เป็นเรื่องที่อยู่ในนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาแล้ว พร้อมยืนยันกรอบเวลายุบสภาเดิม คือภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 โดยได้มอบหมายให้นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะทำงานร่วมหารือกับนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนี้จะมีการหารือของคณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วย นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ, นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.
การจัดให้มีการออกเสียงประชามติระดับชาติในปีหน้า จะถือเป็นครั้งที่ 3 ของประเทศ แต่เป็นครั้งแรกที่ประชาชนจะได้เข้าคูหาพร้อมกับใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วไป ภายหลังมีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ปี 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. 2568
ภายใต้กฎหมายประชามติฉบับใหม่ กำหนดให้วันประชามติอยู่ในช่วง 60-150 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา ทั้งนี้ หากยึดตามไทม์ไลน์ที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เคยเสนอไว้ รัฐสภาจะมีเวลาพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 156, มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 ถึงกลางเดือน ม.ค. 2569 (หลังผ่านวาระที่ 1 เมื่อ 15 ต.ค. 2568) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ในวาระที่ 2 ก่อนกลับเข้ารัฐสภาใหญ่ต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา