
พูดครั้งแรก ‘พิพัฒน์’ ประกาศ 5 นโยบายเร่งด่วนวาระ 4 เดือนรัฐบาลอนุทิน ‘ดันต่อพ.ร.บ.SEC-โปรเจ็กต์แลนด์บริดจ์-เร่งรัดเบิกจ่ายงบปี 69 ให้ได้ 50%-พัฒนาระบบตั๋วร่วมควบทั้งรถไฟฟ้าและรถเมล์-จัดการจราจร’ ยอมรับ 4 เดือนดันโครงสร้างพื้นฐานสำคัญได้น้อย แต่พ.ร.บ. SEC ขอให้ผ่านครม.ได้ก่อน ขณะที่ตั๋วร่วมเตรียมนัดหน่วยงาน-เอกชนทั้ง BTS-BEM หารือ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 9 ตุลาคม 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในโอกาสที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข. ครบรอบวันสถาปนา 23 ปี ส่วนตัวมีนโยบาย 5 ด้านตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีกำชับ เพราะรัฐบาลนี้มีอายุเพียง 4 เดือนเท่านั้น ดังนั้น สิ่งที่เร่งด่วนต้องทำให้เห็นผล แต่ในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน 4 เดือนไม่มีทางที่จะทำให้เสร็จ อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยต้องริเริ่มและหาข้อสรุปให้ได้ว่า จะทำอะไรบ้าง โดยมี 5 นโยบายเร่งด่วนที่ต้องทำ ดังนี้
1.เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ให้ได้ 50% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม ต้องพยายามจัดซื้อจัดจ้างให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล
2.ผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป้าหมายสำคัญ เพื่อเป็นการสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของภูมิภาค ซึ่งภาคตะวันออกมีระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ไปแล้ว SEC จะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ ทำให้ดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศ
3.เดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมอ่าวไทยและอันดามัน เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ในอนาคต ข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของ พ.ร.บ. SEC ด้วย แต่ถ้าไม่มีโครงสร้างพื้นฐานเชื่อม 2 ฝั่งทะเล ก็คิดว่าเสน่ห์ในการทำเรื่องนี้ไม่ค่อยน่าสนใจ แต่คิดว่าถ้ามีการทำท่าเรือทั้ง 2 ฝั่งทะเล จะเชื่อมโยงไปถึงการนำมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกเข้าไว้ด้วยกัน โดยร่นระยะทางในการขนส่ง และจะมีระบบขนส่งหลากหลายทั้งถนน ราง และท่อ ระบบท่อคือการส่งน้ำมันดิบและแก๊ส เพราะแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งการขนส่งน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางไปมหาสมุทรแปซิฟิก ปัจจุบันใช้ช่องแคบมะละกาที่มีสภาพค่อนข้างแออัด โครงการแลนด์บริดจ์จะช่วยลดเวลาขนส่งตรงนี้ได้ 5 วัน รวมถึงการขนส่งสินค้าผ่านตู้คอนเทนเนอร์จากทั้ง 2 ฝั่ง จะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น ที่สำคัญ จะเป็นการสร้างอาชีพสร้างงานให้คนในพื้นที่ด้วย โดยตำแหน่งงานที่จะมีเพิ่มขึ้นถึง 280,000 ตำแหน่ง
4.การพัฒนาระบบตั๋วร่วมและค่าโดยสาร (Commom Ticket System) เพื่อให้ประชาชนใช้บัตรใบเดียวกับขนส่งทุกระบบ เพราะการบริหารจัดการจรราจรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะพื้นที่ก่อสร้างต่างๆ ก็ขอขยายระบบตั๋วร่วมในที่นี้จะต้องรวบเอาทั้งระบบรางและรถเมล์ทั้งหมด โดยจะรวมเป็นโครงข่ายเดียวกันในการเดินทาง ซึ่งตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี คือ การลดค่าใช้จ่ายประชาชน ดังนั้น ค่ารถเมล์ก็ควรอยู่ที่ 8-25 บาท ส่วนรถไฟฟ้าจะอยู่ที่ 17-45 บาท โดยแต่ละระบบรถไฟฟ้าจะมีค่าแรกเข้า ซึ่งจะใช้ตั๋วร่วมนี้ในการไม่ต้องจ่ายตรงนี้ลงไป โดยปัจจุบันมีผู้ใช้บริการรถเมล์ 600,000 คน/วัน ขณะที่ผู้โดยสารรถไฟฟ้าอยู่ที่ 2 ล้านคน/วัน
5.การจัดการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าและช่วงเทศกาล เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกของประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การทำนโยบายตั๋วร่วมจะเริ่มต้นได้เมื่อไหร่ นายพิพัฒน์กล่าวว่า 4 เดือนนี้ จะพยายามปรึกษาหารือกับผู้ประกอบการก่อน เพราะการทำตั๋วร่วมต้องคุยกับหลายภาคส่วนทั้งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) , บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM), บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BTS) และระบบรถเมล์ที่มีบริษัทของเอกชนด้วย แต่ที่สำคัญ อนาคตรถเมล์จะต้องวิ่งแบบก้างปลา คือ ขนคนไปเข้าระบบราง ซึ่งเป็นระบบหลัก ถ้าทำได้ ก็คาดว่าความแออัดจะลดลง แต่จะมี MOU ร่างไว้เป็นกรอบให้รัฐบาลต่อไปดำนเนิการต่อ
ส่วนรถไฟฟ้าสายสีแดงและม่วงที่เพิ่งต่อมาตรการออกไป 2 เดือน และจะหมดอายุในวันที่ 30 พ.ย.นี้ นายพิพัฒน์ตอบว่า อาจจะมีการต่ออายุมาตรการออกไปก่อน เพราะคณะกรรมการที่จัดตั้งไว้หารือและได้ข้อสรุปครั้งแรกวันที่ 15 พ.ย.นี้
เมื่อถามถึงการผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ นายพิพัฒน์กล่าวว่า คงต้องประชุมหารือกับกระทรวงคมนาคมก่อน สำหรับเรื่องกองทุนในพ.ร.บ.SEC เพิ่งมีการหารือกันเสร็จ และในสัปดาห์หน้าจะพูดคุยกับกระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลาง ก่อนจะนำเสนอที่ประชุมครม.ต่อไป ส่วนจะทัน 4 เดือนในวาระรัฐบาลนี้หรือไม่ นายพิพัฒน์กล่าวว่า ถ้าประกาศใช้ไม่น่าทัน แต่จะผลักดันจะที่ประชุมครม.เห็นชอบก่อน ส่วนจะทันการพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สส.) หรือไม่นั้น นายพิพัฒน์ระบุว่า สมัยการประชุมในชุดนี้จะปิดการประชุมวันที่ 31 ต.ค.นี้ ไปเปิดสมัยการประชุมอีกทีวันที่ 12 ธ.ค. 2568 ซึ่งคาดว่าน่าจะไม่ทัน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา