‘เลขาฯสภาพัฒน์’ ชี้ 5 ปัจจัยเชิงโครงสร้างฯ ทำประเทศไทย ‘เดินช้า’ ฉุดรั้งเศรษฐกิจ ‘โตต่ำ’-‘รายได้’ กระจุกตัวคนบางกลุ่ม พร้อมระบุงบ 1 ล้านล้านบาท/ปี ถูกเทลงไปในงาน ‘รูทีน’ ไม่ได้ทำ ‘เรื่องใหม่’ ที่ขับเคลื่อนประเทศ
...................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวในหัวข้อ ‘ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย Thailand’s Institutional Reform’ ในงานประชุมประจำปี สศช. ปี 2568 โดยระบุว่า แม้ว่าในช่วงประมาณ 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา หน่วยงานต่างๆจะร่วมกันขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 แต่ผลลัพธ์ต่างๆที่เกิดขึ้นยังไม่ก้าวหน้ามากพอ
“ในเรื่องรายได้ประชาชาติต่อหัวประชากร แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 กำหนดว่ารายได้ประชาชาติต่อหัวประชากร ต้องไม่ต่ำกว่า 9,300 ดอลลาร์สหรัฐ/คน/ปี ในปี 2570 หรือคิดเป็น 3 แสนบาทต่อปี/คน/ปี ซึ่งในปี 2567 รายได้ประชาชาติต่อหัวของเราอยู่ที่ 7,497.5 ดอลลาร์สหรัฐ/คน/ปี หรือ 264,611.1 บาท/คน/ปี ตรงนี้จึงเป็นความท้าทายที่เราจะต้องขับไปให้ได้ตามเป้าหมายฯ
ในเรื่องการพัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่ เราอยากให้ดัชนีความก้าวหน้าของคน (HAI) มีค่าเท่ากับ 0.7209 ในปี 2570 แต่ปี 2567 เราลงมาอยู่ที่ 0.6354 ถอยหลังจากปี 2566 ที่อยู่ที่ 0.6383 และปี 2565 ที่อยู่ที่ 0.6475 ถามว่าเพราะอะไร หลายๆเรื่องเกี่ยวข้องกับการสร้างศักยภาพคน และเรื่องการสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของคน ดังนั้น การจะไปถึงตรงนั้นในปี 2570 จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมาก
ส่วนเรื่องการมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม เราดูในเรื่องความแตกต่างหรือช่องว่างระหว่างรายจ่ายของคนที่มีสถานะทางเศรษฐกิจสูง 10% บน กับคน 40% ข้างล่าง เราอยากให้มันต่ำกว่า 5 เท่า ซึ่งตอนนี้ (ปี 2567) ยังอยู่ที่ 5.22 เท่า ใกล้เคียงกับปี 2566 ที่อยู่ที่ 5.28 เท่า แต่ไม่แน่ใจว่า ที่เป็นอย่างนี้มันมาจากเรื่องที่ว่า พวกเราขัดสนกันทุกคนหรือไม่ จึงทำให้มันลดลงมา แต่ก็เป็นเรื่องท้าทายที่เราจะบีบช่องว่างให้แคบลงมาให้ได้
เรื่องการเปลี่ยนผ่านการผลิตการบริโภคไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งเราดูจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยกำหนดให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงไม่น้อยกว่า 20% เมื่อเทียบกับกรณีปกติ แต่เนื่องจากข้อมูลมันช้ามาก มีแค่ปี 2565 และ 2566 เราจึงไปดูการปล่อยก๊าซในอุตสาหกรรมพลังงาน ก็ปรากฏว่ามันเพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
และสุดท้ายเรื่องการเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงภายใต้บริบทโลกใหม่ อันนี้ดูดี และเกินเป้าไป โดยปี 67 เราถอยหลังกลับมานิดหนึ่ง มาอยู่ที่ 89.69% ลดลงจากปี 2666 ที่อยู่ที่ 90.84% แต่ก็ต้องมาดูว่า เรามีความสามารถอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า” นายดนุชา กล่าว
นายดนุชา ระบุด้วยว่า ในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2566 มีการใช้จ่ายงบประมาณภายใต้แผนฯ เฉลี่ยปีละ 1 ล้านล้านบาท ผ่านโครงการ 9,132 โครงการ และการขับเคลื่อนผ่านแผนปฏิบัติการ ‘ระดับ 3’ จำนวน 1,230 แผน แต่ปรากฏว่า งบประมาณที่ลงไปเฉลี่ยปีละ 1 ล้านล้านบาทนั้น เป็นการทำงานในลักษณะปกติ และไม่ได้ทำเรื่องใหม่ๆ ที่จะขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่สามารถสร้างอัตราการขยายทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้นได้
“งบประมาณ 1 ล้านล้านบาท/ปี โดยเฉลี่ยที่ลงไปนั้น มากกว่า 50% เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องประกันสุขภาพถ้วนหน้า การรักษาพยาบาล เรื่องสวัสดิการสังคม การศึกษาทั่วถึง และการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ส่วนอีก 18% เป็นเรื่องครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ซึ่งเป็นงานรูทีนปกติ และอีกประมาณ 10% หรือประมาณ 1 แสนล้านบาท นั้น เป็นการขุดลอก สร้างอ่างเก็บน้ำ บ่อน้ำ การผลิตและแจกเมล็ดพันธุ์
แต่ไม่มีเรื่องการเพิ่มผลิตภาพในภาคเกษตร ไม่มีการเอาเทคโนโลยีมาใช้ในภาคเกษตร หรือการแปรรูปไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ไปสู่อุตสาหกรรมการเกษตร หรือแม้กระทั่งการลงทุนในเรืองใหม่ เช่น Wellness และ medical industry ยังไม่มีเรื่องพวกนั้น จึงเป็นข้อสรุปที่ว่า การทำงานยังเป็นการทำงานในลักษณะปกติ ไม่ได้ทำเรื่องใหม่ๆ ที่จะขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่สามารถสร้างอัตราการขยายทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้นได้” นายดนุชา กล่าว

@ชี้ 5 ปัญหาเชิงโครงสร้างฯ ทำประเทศไทยหยุดชะงัก
นายดนุชา กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ผ่านมาการพัฒนาของไทยหยุดชะงักมาระยะหนึ่ง และหยุดชะงักมานานแล้ว เพราะเราทำแต่เรื่องเดิมๆ ไม่ได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างจริงๆ สะท้อนได้จากตั้งแต่แผนฯฉบับที่ 10 (ปี 2550-2554) อัตราเติบโตเศรษฐกิจของไทยต่ำกว่า 5% มาโดยตลอด ซึ่งไม่พอที่จะทำให้ประเทศไทยขยับจากประเทศรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้สูง แม้แต่หลังจากมีวิกฤติแล้ว เราก็ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจกลับมาโตถึงได้จุดเดิมได้เลยมาตั้งแต่ปี 2552
“ความสามารถในการแข่งขันของไทยถดถอยทุกด้าน ลุ่มๆดอนๆ เราเคยขึ้นมาสูงสุดที่อันดับ 25 แต่ในปี 2568 ซึ่งใช้ข้อมูลปี 2567 เราลดลง 5 อันดับ มาอยู่อันดับ 28 แล้วอะไรที่ดึงให้ร่วงมา ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องสมรรถนะเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ฉุดรั้งเรามากๆ มาจาก 2 เรื่อง ได้แก่ 1.ประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องถนน รถไฟ ท่าอากาศยาน แต่สิ่งที่เป็นปัญหา คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี อันดับเราอยู่ที่ 50 กว่าๆ
และ 2.ประสิทธิภาพภาครัฐ คือ การบริหารสถาบัน กฎระเบียบทางธุรกิจ และกรอบการบริหารทางด้านสังคม ซึ่งเป็นการบริหารจัดการของฝั่งรัฐ นอกจากนี้ ถ้าดูข้อมูลแวดล้อมอื่นๆ จะพบว่าเรามีปัญหาคนมีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น มีปัญหาการกระจายรายได้ ทั้งนี้ จากข้อมูลปี 2566 คนที่มีฐานะดี ร่ำรวย 10% บน มีรายได้ 36,706 บาท/คน/เดือน ส่วนกลุ่มเปราะบางใน 10% ล่าง มีรายได้ 2,635 บาท/คน/เดือน ต่างเกิน 10 เท่า และแนวโน้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ” นายดนุชา ระบุ
นายดนุชา กล่าวต่อว่า สำหรับปัญหาเชิงโครงสร้างและปัจจัยเชิงสถาบันสำคัญที่ยังเป็นข้อจำกัดของประเทศไทย มี 5 ด้าน ประกอบด้วย 1.กฎหมายและระเบียบที่มีจำนวนมาก ล้าสมัย และเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน 2.การทุจริตคอร์รัปชัน ที่บิดเบือนโครงสร้างแรงจูงใจและบั่นทอนความเชื่อมั่น
3.หลักนิติธรรม ที่ยังอ่อนแอ ล่าช้า และลดทอนความน่าเชื่อถือ 4.ประชาธิปไตย ที่ยังไม่มั่นคง ส่งผลให้กติกาไม่เปิดกว้างและไม่เป็นธรรม และ 5.การบริหารจัดการภาครัฐ ที่มีขนาดใหญ่แต่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดการบูรณาการ และเผชิญข้อจำกัดด้านการคลัง
“มี 5 เรื่องหลักๆ ที่เป็นปัญหาเชิงสถาบันของเราวันนี้ คือ 1.กฎหมายและระเบียบ ถ้าเรามีกฎหมายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค หรือทำให้เกิดการแข่งขันของผู้ประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน หรือมีกฎหมายที่จำกัดโอกาสในการสร้างธุรกิจ หรือการใช้กลไกกฎหมายไปจำกัดการแข่งขัน ก็จะไปกระทบความเชื่อ และทำให้นักลงทุนต้องหยุดดูว่า เรามีกระบวนการที่ยุติธรรมหรือเปล่า เมื่อมีปัญหาแล้ว แก้ไขเร็ว ชัดเจน มีกระบวนการ และไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่
2.การทุจริตและคอร์รัปชัน ทุกท่านทราบดีว่า มี และมีอยู่เยอะ ฝังอยู่เยอะ ซึ่งเป็นต้นทุนให้ภาคธุรกิจและพี่น้องประชาชน ประเทศที่มีค่า Corruption Perceptions Index (CPI) ดีๆ คือ ประเทศที่มีคอร์รัปชันน้อยๆ รายได้ต่อหัวของคนจะสูงขึ้น แต่ถ้าเป็นประเทศที่ค่า CPI ไม่ดี รายได้ต่อหัวจะไม่ค่อยดีตามไปด้วย
3.เรื่องหลักนิติธรรม หลักนิติธรรมไทยที่เสื่อมถอย ส่งผลต่อความก้าวหน้าในการพัฒนาประเทศและรายได้ประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาเราได้เห็นกระบวนการยุติธรรมหลายๆเรื่อง ที่ล่าช้าเกินกว่าที่ทุกคนคาด อย่างเรื่องที่เกิดขึ้นในตลาดทุน 2-3 เคสที่ผ่านมา ถ้าเป็นในต่างประเทศ พอเกิดเคส ไม่น่าจะเกิน 4-5 เดือน ก็จบแล้ว รู้ว่าใครผิดใครถูก และดูแลนักลงทุนอย่างไร
แต่เมื่อย้อนกลับมาดูของเรา บางกรณีต้องไปตามตัวกลับมาจากต่างประเทศ แล้วเอาขึ้นศาลที่ไทย เพราะกว่าที่เราจะไปจับตัวเขาได้ เขาก็ไปแล้ว ซึ่งเรื่องพวกนี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นว่า กระบวนการยุติธรรมของเราในเคสบางเคส มีความรวดเร็ว ฉับไว ดูแลพี่น้องประชาชน และยุติธรรมจริงหรือไม่ หรือบางเรื่องมีความยุติธรรม แต่อาจช้าไป
4.ความเป็นประชาธิปไตยก็เช่นกัน ที่ ฟิทช์ เรทติ้งส์ เขาปรับลด Outlook ของเรา ส่วนหนึ่งก็มาจากความไม่แน่นอนในเชิงการเมืองเหมือนกัน แต่ข้อดีของเรา คือ แม้ว่าค่าดัชนีจะลดเรื่อยๆ แต่ยังมีความหวังได้อยู่ เพราะการมีส่วนร่วมในการทางการเมืองมีมากขึ้นเรื่อยๆ พี่น้องประชาชนตระหนักรู้ในเรื่องการเมืองและการมีส่วนร่วม ซึ่งมีส่วนช่วยให้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ถูกดิสรัปฯ ด้วยวิธีการอื่นๆ นอกจากวิธีการทางประชาธิปไตย ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้ต่างประเทศ และมีผลให้นโยบายหลายอันที่ดีเดินต่อไปได้
และ 5.การบริหารจัดการภาครัฐ เสียงเรียกร้องทั้งเรื่องทุจริต ความเสี่ยง การประเมินผล และการจัดซื้อจัดจ้างที่ล่าช้า หรือบางเรื่องไม่ต้องทำแล้ว แต่ยังจะทำอยู่ ที่สำคัญภาครัฐของเรา มีขนาดใหญ่เกินไป มีกฎระเบียบเยอะไปหมด และกฎระเบียบที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นลักษณะการควบคุมมากกว่าอำนวยความสะดวก
แม้แต่คนในระบบราชการที่อยากมีนวัตกรรมใหม่ ในการบริหารงาน แต่ทำไปทำมา ก็เจอกฎระเบียบที่ทำให้ทำไม่ได้ เพราะที่ทำไปแล้วนั้น มีปัญหาในเชิงข้อกฎหมาย จึงทำให้ระบบภาครัฐ ไม่สามารถตอบสนองการพัฒนาหรือขับเคลื่อนการพัฒนาได้จริงๆ พอเวลาทำงานก็ทำงานรูทีน ขาดนวัตกรรม ดังนั้น ถ้าเราสามารถปรับระบบจัดการภาครัฐได้ ก็จะทำให้การพัฒนาสามารถเร่งตัว และได้ผลอย่างที่คาดหวัง” นายดนุชา กล่าว
นายดนุชา ย้ำว่า “ทั้ง 5 เรื่องนี้ ปัญหาทั้งหมดนี้ มันส่งผลต่อ Trust confidence และ accountability ผมเชื่อว่าหลายๆท่าน ไม่เชื่อมั่นในการทำงานของฝั่งรัฐเท่าไหร่ แต่ถ้าเราไม่ปรับให้ Trust confidence และ accountability ให้มีมากขึ้น ประเทศไทยคงเดินได้ช้าลงเรื่อยๆ และเศรษฐกิจเราก็คงจะขยายตัวไม่สูงเหมือนเดิม รวมถึงการกระจายตัวของการพัฒนาก็จะกระจุกตัวอยู่กับบางกลุ่มเท่านั้น ถ้าเราไม่ปรับ”

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา