
‘ฟิทช์ เรทติ้งส์’ปรับแนวโน้มเครดิตของประเทศไทยเป็น ‘เชิงลบ’ จากเดิม ‘มีเสถียรภาพ’ สะท้อนความ ‘เสี่ยงการคลัง-ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ-เจอปัจจัยลบเศรษฐกิจโลกชะลอตัว-ท่องเที่ยวฟื้นช้า’ แต่ยังคงอันดับเครดิต ‘BBB+'
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 24 ก.ย.บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ อิงค์ เป็นหน่วยงานจัดอันดับเครดิตของสหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในสามองค์กรจัดอันดับทางสถิติที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ ซึ่งแต่งตั้งโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐอเมริกาไดมีการจัดแนวโน้มอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (IDR) ของประเทศไทยเป็นลบจากเดิมที่ประเทศไทยมีสเถียรภาพ และคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ 'BBB+' โดยหนี้สาธารณะของไทยแตะ 59.4% ต่อ GDP ในเดือนสิงหาคม 2568 ใกล้ระดับค่าเฉลี่ยของประเทศกลุ่ม BBB อย่างไรก็ตามอัตราหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยมีแนวโน้มสูงกว่าประเทศที่มีอันดับเครดิตใกล้เคียง และรายได้จากภาษียังต่ำกว่าศักยภาพ ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการและกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
สาเหตุหลักๆมาจากการเลือกตั้งใหม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยอดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ถูกศาลรัฐธรรมนูญปลดออกจากตำแหน่งเมื่อต้นเดือนกันยายน จากกรณีคลิปเสียงโทรศัพท์กับอดีตผู้นำกัมพูชา นายฮุน เซน ในช่วงที่ความตึงเครียดบริเวณชายแดนทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม มีรายงานว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ได้ตกลงกับพรรคประชาชน ที่เป็นฝ่ายค้านว่าจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายในสี่เดือนเพื่อแลกกับการสนับสนุน ซึ่งอาจนำไปสู่แรงกดดันด้านการใช้จ่ายในระยะสั้นและเพิ่มความไม่แน่นอนด้านนโยบาย
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้การฟื้นตัวล่าช้า ทางฟิทช์คาดว่าหน่วยงานต่างๆ จะใช้พื้นที่ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นโยบายการคลัง ซึ่งจะนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณ 4.6% ของ GDP ในปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนกันยายน 2568 (ปีงบประมาณ 2568) และ 4.3% ในปีงบประมาณ 2569 ซึ่งเหตุดังกล่าวนั้นหมายความว่า มีความเสี่ยงที่แผนการคลังจะถูกกระทบ เพิ่มภาระการขาดดุลและหนี้สาธารณะ
โดยรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคการเมืองชุดก่อนได้แจกจ่ายเงินสดให้กับประชาชนบางส่วนตามที่ได้สัญญาไว้ในการเลือกตั้งปี 2566 และวางแผนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่บางโครงการ รวมถึงสนามบินแห่งใหม่ใกล้กรุงเทพฯ ซึ่งเชื่อมต่อด้วยรถไฟความเร็วสูง
ขณะที่งบประมาณปีงบประมาณ 2569 ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภา ทำให้เป็นที่แน่ชัดว่าจะมีการใช้จ่ายที่น้อยกว่างบประมาณเดิมหลังจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในปีงบประมาณ 2567
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจ 2569 ฟิทช์คาดว่า GDP ไทยจะเติบโต 2.2% ในปี 2568 และชะลอเหลือ 1.9% ในปี 2569 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ BBB ที่ 2.7% โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8 เดือนแรกอยู่ที่ 21.9 ล้านคน ยังห่างจากสถิติปี 2562 ที่ 39.9 ล้านคน ขณะเดียวกันการส่งออกยังเผชิญแรงกดดันจากภาษีนำเข้า 19% ของสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีจุดแข็งด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากมีฐานะการเงินต่างประเทศแข็งแกร่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และเงินสำรองระหว่างประเทศสูง ขณะที่ภาคเอกชนมีหนี้ต่างประเทศในระดับที่บริหารจัดการได้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา