
ทัพภาค 2 ชี้แจงสถานะทหารกัมพูชา 20 นาย ยืนยันดูแลตามหลักการอนุสัญญาเจนีวา รับรองตามสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่มีการประณาม เผยส่งตัวผู้บาดเจ็บกลับไปแล้ว 2 จะส่งตัวที่เหลือ 18 รายกลับกัมพูชาเมื่อขัดแย้งยุติ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวว่าเมื่อวันที่ 4 ส.ค. เฟซบุ๊กกองทัพภาค 2 ได้มีการชี้แจงข้อมูลยืนยันว่ากองทัพบกชี้แจงสถานะเชลยศึกของกําลังพลฝ่ายกัมพูชา ตามหลักมนุษยธรรมสากลยืนยัน การปฏิบัติตามพันธกรณีแห่งอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 อย่างเคร่งครัด
โดยเนื้อหาการชี้แจงระบุว่า
ตามที่ได้เกิดเหตุปะทะระหว่างกําลังทหารไทยกับกองกําลังทหารฝ่ายกัมพูชา บริเวณพื้นที่บ้านแต อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568
สืบเนื่องจากฝ่ายกัมพูชาได้ กระทําการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และดําเนินการโจมตีเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทย ฝ่ายไทยจึง จําเป็นต้องดําเนินการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม เพื่อยับยั้งการรุกราน และผลักดันกองกําลังฝ่าย กัมพูชาออกจากพื้นที่ดังกล่าว
ภายหลังการปะทะ ได้มีกําลังพลฝ่ายกัมพูชาจํานวน 20 นายยอมจํานนจากการสู้รบ โดย กองทัพบกได้ดําเนินการปลดอาวุธและควบคุมตัวตามกระบวนการทางทหาร พร้อมทั้งยึดถือแนวทางการ ปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัดในทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับความสนใจ จากสาธารณชนอย่างกว้างขวาง และมีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จและบิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง กองทัพบกขอชี้แจงว่า กําลังพลฝ่ายกัมพูชาที่ยอมจํานนและอยู่ ในการควบคุมของฝ่ายไทย ได้รับการรับรองสถานะตามกฎหมายระหว่างประเทศว่าเป็น “เชลยศึก” ตามข้อบทแห่งอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 ซึ่งประเทศไทยและประเทศกัมพูชาเป็นรัฐภาคีร่วมกัน โดย อนุสัญญาดังกล่าวบัญญัติชัดเจนว่าสถานะเชลยศึกจะเกิดขึ้นเมื่อคู่กรณีทั้งสองฝ่ายอยู่ในสถานะของความ ขัดแย้งด้วยอาวุธ และผู้ที่ถูกควบคุมตัวเป็นบุคคลซึ่งสังกัดกองกําลังติดอาวุธของรัฐฝ่ายตรงข้าม
สถานะเชลยศึกมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการประณาม หากแต่เป็นการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลในสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธ ซึ่งรวมถึง
- การได้รับความคุ้มครองจากการประทุษร้าย การทรมาน การบังคับขู่เข็ญ และการทดลองทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์
- การได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม ปราศจากการดูหมิ่น หรือการเผยแพร่สู่สาธารณะโดย ไม่เหมาะสม
- การจัดหาสิ่งจําเป็นขั้นพื้นฐาน อาทิ อาหาร น้ําดื่ม เครื่องแต่งกาย การดูแลด้านสุขอนามัย และ การรักษาพยาบาล
- การห้ามมิให้กักขังเชลยศึกในสถานที่คุมขังตามประมวลกฎหมายอาญา
- สิทธิในการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา และการได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับภูมิลําเนาเมื่อความขัดแย้งด้วยอาวุธสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์(มิใช่เพียงแค่การหยุดยิง)
ภายหลังการควบคุมตัว กองทัพบกได้ดําเนินการเคลื่อนย้ายเชลยศึกทั้งหมดออกจากพื้นที่เสี่ยง ภัยจากการสู้รบไปยังเขตปลอดภัยในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 พร้อมทั้งจัดเตรียมการ สนับสนุนด้านปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ อาหาร น้ำดื่ม เครื่องแต่งกาย การตรวจร่างกายและสุขภาพโดยทีม แพทย์ ตลอดจนปฏิบัติต่อเชลยศึกตามกรอบของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างครบถ้วน
ต่อมา เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 กองทัพบกได้ดําเนินการส่งตัวเชลยศึกชาวกัมพูชาที่ได้รับบาดเจ็บ จํานวน 2 นาย กลับไปยังประเทศต้นทาง ผ่านทางจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ ภายหลัง จากได้รับการรักษาพยาบาลโดยฝ่ายไทยจนพ้นขีดอันตรายและสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย
ส่วนเชลยศึกที่เหลืออีก 18 นาย ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายไทยในสถานะเชลยศึก และจะได้รับการส่งกลับเมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธยุติลงโดยสมบูรณ์ตามข้อกําหนดในอนุสัญญาเจนีวา
กองทัพบกขอยืนยันว่า “เชลยศึก” เป็นสถานะทางกฎหมายที่ได้รับการรับรองภายใต้กรอบของ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ มิใช่การจํากัดสิทธิมนุษยชน หากแต่เป็นกลไกในการคุ้มครองสิทธิ มนุษยชนในสภาวะสงคราม กองทัพบกยังคงยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรมระหว่างประเทศ และพันธกรณีที่ประเทศไทยได้ให้ไว้ในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาเจนีวา พร้อมทั้งขอยืนยันว่าจะ ดําเนินการต่อกําลังพลฝ่ายตรงข้าม ตลอดจนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สู้รบ ด้วยความเคารพต่อศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์อย่างเคร่งครัด

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา