
‘สุริยะ’ ปัก 25 ส.ค. เปิดลงทะเบียนรับสิทธิ์รถไฟฟ้า 20 บลาทตลอดสาย ผ่านแอป ‘ทางรัฐ’ ย้ำต้องถือ 2 บัตรในการใช้บริการคือ ‘Rabbit-EMV’ ยัน 1 ต.ค.ได้ใช้แน่นอน แต่กทม.-คมนาคม ยังชุลมุนเรื่องชดเชยรายได้ เผยใช้หลักการตามเงื่อนไขอัตราเติบโตตามรายได้ในการชดเชย ถ้าผู้โดยสารเพิ่มเเกิน 2-3% ต้องปันเงินเข้ากองทุนตั๋วร่วมฯ ด้าน ‘ชัชชาติ’ ชี้พร้อมร่วมมือ แต่หวั่นการเดินทางข้ามสาย เงินเข้าต่อแรก ต่อที่เหลือรอชดเชยนาน ก่อนแจงเงื่อนไขสัญญาของ BTS ต่างกับ BEM จะปันส่วนเกินเข้ากองทุนคงไม่ได้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ 25 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไปจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์มาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย เดินทางข้ามกี่สายก็ได้ ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ iOS และ Android ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย โดยวิธีการลงทะเบียนคือ จะต้องระบุเลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก และบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรโดยสาร Rabbit Card ที่ลงทะเบียน ที่จะใช้ในการชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า และบัตรที่ได้รับการยืนยันการลงทะเบียนแล้วจะได้สิทธิการใช้มาตรการโดยอัตโนมัติ หากไม่ลงทะเบียนจะต้องจ่ายค่าโดยสารในอัตราปกติ และมั่นใจว่า การลงทะเบียนดังกล่าวระบบจะไม่ล่ม เนื่องจากจะใช้รูปแบบคล้ายกับการเปิดให้ลงทะเบียนนโยบาย “ดิจิทัลวอลเลต” ที่มีผู้ลงทะเบียนกว่า 18 ล้านคน แต่ระบบสามารถรองรับได้
รมว.คมนาคมกล่าวต่อว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนี้จะใช้รูปแบบบัตร 2 แบบ คือ Rabbit Card สามารถใช้บริการรถไฟฟ้าได้ 4 สาย คือ สายสีเขียว, สีทอง, สีเหลือง, สีชมพู กับบัตร EMV Contactless (Visa/Mastercard) ตามเงื่อนไขธนาคารที่เข้าร่วมให้บริการกำหนดสามารถใช้ได้กับรถไฟฟ้า 6 สาย คือ สายสีแดง, สีน้ำเงิน, สีม่วง, สีชมพู, สีเหลือง, แอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL)
ทั้งนี้ กรณีประชาชนผู้ใช้บริการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าข้ามสายจะต้องถือบัตร 2 ใบเพื่อแตะผ่านเข้าระบบรถไฟฟ้าตามที่กำหนด แต่จะชำระค่าโดยสารเพียง 20 บาทตลอดการเดินทาง ส่วนในระยะต่อไปจะนำเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมเข้ามาใช้ในการพัฒนาระบบ เช่น การสแกนจ่ายด้วย QR CODE เพื่อเพิ่มความสะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น
@ยัน 1 ต.ค.ได้ใช้
นายสุริยะยืนยันว่า มาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย (ระยะที่ 2) จำนวน 8 สาย จะใช้ได้ในวันที่ 1 ต.ค. 2568 แน่นอน ซึ่งจากที่หารือล่าสุดกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2568 ได้มีการอธิบายทำความเข้าใจประเด็นการชดเชยรายได้จากค่าโดยสารที่ลดลงแล้ว ทั้งผู้ว่าฯ กทม.และบีทีเอส พร้อมให้ความร่วมมือ
ส่วนที่ กทม.ระบุว่ากระทรวงคมนาคมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชดเชยรถไฟฟ้าสายสีเขียววงเงิน 2,525 ล้านบาท น้อยกว่าความเป็นจริง นายสุริยะกล่าวว่า มติ ครม.วงเงิน 2,525 ล้านบาทนั้นเป็นตัวเลขประมาณการ ซึ่งได้ชี้แจง กทม.แล้วว่าหลักการชดเชยของสายสีเขียวคือเคยมีรายได้เท่าไรก็จะต้องได้ตามนั้น คือหากเก็บที่ราคา 20 บาทตลอดสายแล้วรายได้ลดลง จะมีการชดเชยส่วนที่หายไป เป็นการชดเชยตามจริง ดังนั้นจะไม่มีผลกระทบเรื่องรายได้
นายสุริยะกล่าวว่า ส่วนของเส้นทางที่เป็นสัมปทาน ทั้งบมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) และ BTS แต่ละสัญญามีรายละเอียดการแบ่งรายได้ตามอัตราการเติบโตของผู้โดยสารแต่ละปี ซึ่งกรณีเก็บ 20 บาทตลอดสายจะส่งผลให้ผู้โดยสารเติบโตมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ ดังนั้น ผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งให้ไปดูค่าเฉลี่ยการเติบโตของผู้โดยสารย้อนหลัง 5 ปี มาเฉลี่ยเป็นเกณฑ์ ซึ่งพบว่า เติบโตประมาณ 2-3% ดังนั้น หากผู้โดยสารเติบโตมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติจะต้องมีการแบ่งรายได้ส่วนที่เพิ่มนี้ให้รัฐ โดยทางเอกชนจะใช้วิธีการบริจาคเข้ากองทุนตั๋วร่วมฯ เพื่อไม่ต้องแก้ไขสัญญา ซึ่งจะมีการหารือถึงตัวเลขส่วนแบ่งรายได้กันอีกที โดยกรณีนี้ทาง BTS จะต้องรายงานไปที่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง (BTSGIF)
“กรณีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และ พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ.…. ในการดำเนินการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ที่เตรียมนำเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 7 ส.ค. 2568 หากเกิดกรณีประกาศใช้ไม่ทัน จะไม่มีผลต่อมาตรการ 20 บาทตลอดสาย เพราะสามารถใช้งบของ รฟม. รฟท. และงบกลางในการชดเชยค่าโดยสารชั่วคราวไปก่อน เพราะเชื่อว่าขั้นตอนการออกกฎหมายหากจะล่าช้าก็อาจจะไม่ได้ใช้เวลานาน” นายสุริยะระบุ

สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
@กทม.กังวล เดินทางข้ามสาย เงินชดเชยเป็นอย่างไร?
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า นายสุริยะยืนยันแนวทางรัฐชดเชยรายได้รถไฟฟ้าสายสีเขียวให้ กทม.ในส่วนที่หายไป แต่ยังมีรายละเอียดที่ต้องดำเนินการ โดยเฉพาะการชดเชยรายได้ส่วนสัมปทาน BTS เพราะเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบ และมีส่วนที่เกี่ยวข้อง กองทุนฯ BTSGIF จะคิดจำนวนผู้โดยสารอย่างไรและคำนวนการชดเชยรายได้อย่างไร ส่วนเส้นทางที่ กทม.ดูแลส่วนต่อขยายสายสีเขียว 1, 2 ซึ่งได้แจ้งกระทรวงคมนาคมแล้วว่า กทม.จ้างเอกชนเดินรถไม่มีความซับซ้อนเรื่องการชดเชยรายได้
“ปัญหาจะไปอยู่ที่การเดินทางข้ามสาย แต่เก็บ 20 บาท ผู้ประกอบการแต่ละสายที่ผู้โดยสารคนนั้นเดินทางผ่านมาจะได้รับการชดเชยรายได้อย่างไร เช่น ขึ้นจากสีน้ำเงิน มาต่อสีเขียว จ่ายให้สีน้ำเงินแล้ว สีเขียวจะได้อย่างไร ซึ่ง กทม.เสนอขอชดเชยที่ 11,059 ล้านบาท ก็ยังมาเจรจารายละเอียดกันได้ เพราะเราเสนอไปครอบคลุมทั้งหมด” นายชัชชาติกล่าว
ด้านแหล่งข่าวจาก กทม.กล่าวว่า ขณะนี้เป็นการตกลงในหลักการว่าจะชดเชยรายได้ที่ลดลง แต่รายละเอียดตัวเลขชดเชย จำนวนผู้โดยสารและหลักการคำนวณ เนื่องจากกรณีเก็บ 20 บาท แล้วมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเกินค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโตปกติ จะมีรายได้ส่วนเพิ่มจากผู้โดยสารที่เติบโตจากปกติ ซึ่งตามปกติ BTS ส่งรายได้ส่วนนี้เข้ากองทุน BTSGIF ซึ่งในที่ประชุมมีแนวคิดเสนอว่าจะแบ่งรายได้ส่วนเพิ่มนี้ให้รัฐ 20 เอกชน 80 ขณะที่สัญญาของ BEM กับ รฟม.มีการแบ่งรายได้ให้ รฟม.กรณีมีผู้โดยสารเพิ่ม 15% อยู่แล้ว ไม่เหมือนของ BTS จึงยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน ซึ่งทางกรมการขนส่งทางราง (ขร.) จะมีการหารือรายละเอียดอีกครั้งวันที่ 25 ก.ค. 2568 หากมีความชัดเจน BTS จะแจ้งไปที่กองทุน BTSGIF ต่อไป เพื่อให้เห็นชอบทันวันที่ 1 ต.ค. 2568

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา