
‘พิชัย’ เผยแนวทางเจรจา ‘ภาษีทรัมป์’ ยื่นข้อเสนอลดภาษีนำเข้าให้สินค้าจาก ‘สหรัฐ’ เหลือ 0% เน้นกลุ่มสินค้าที่ทำ FTA อยู่แล้ว จ่อออก ‘ซอฟต์โลน’ 2 แสนล้าน ช่วยเหลือ 'ผู้ประกอบการ SMEs-ภาคเกษตร'
.....................................
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ‘กรอบเจรจาและรับมือผลกระทบภาษีทรัมป์’ ในงานเสวนาโต๊ะกลม จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้เป็นเวลามากกว่า 100 วันแล้ว หรือนับตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.2568 ที่สหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 36% และจะครบกำหนดเส้นตายครั้งต่อไปในวันที่ 1 ส.ค.นี้
“สิ่งที่เกิด คือ ความไม่ชัดเจน และนำมาซึ่งความไม่แน่นอน ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะจบอย่างไร และมากน้อยขนาดไหน ขณะนี้ดีกรีของสิ่งเหล่านั้น ก็ยังคงอยู่ ผมไม่คิดว่า จะมีใครคาดเดาได้ว่า บทสรุปจะเป็นอย่างไร และวันนี้ตลาดก็ส่งสัญญาณที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะประเทศสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นขึ้น ในขณะที่ตลาดพันธบัตรไปอีกทางหนึ่ง มีความไม่มั่นใจ เราจึงยังไม่แน่ใจว่า ทั้งหมดนี้ จะเป็นอย่างไร” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย ระบุว่า สำหรับทางออกในเรื่องภาษีของสหรัฐ นั้น คงไม่ใช่การต่อต้าน แต่ต้องเป็นการเจรจา และตอบโต้ไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้น ประเทศไทยก็จะเจอกำแพงภาษีในเวลาอันรวดเร็ว
“เมื่อจะเจรจา เราก็ต้องมาถามว่า แล้วระหว่างที่เจรจา เราต้องเอาอะไรมาประกอบ เงื่อนไขและข้อจำกัดมีอะไรบ้าง แล้วมีอะไรที่จะไปกระทบความสัมพันธ์กับประเทศที่สามบ้าง การเจรจาทุกครั้ง ในสินค้าแต่ละประเภท จะต้องมีการกระทบคู่ค้าอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาประกอบการพิจารณา อีกทั้งเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เราอยู่ในภูมิภาคนี้ เวลาเจรจาไป จะมีการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ ต้องนำมาประกอบด้วย” นายพิชัย ระบุ
นายพิชัย กล่าวว่า “ถ้าจะเจรจา เราควรวางหลักเกณฑ์การเจรจา ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราเป็นอยู่กับสหรัฐ ถ้าเราจะเจรจา เราต้องรักษาผลประโยชน์ที่ลงกัน รักษาความสมดุล และมั่นใจว่าสิ่งนั้น ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าว สิ่งที่เราเสนอนั้นจะต้องทำได้ รักษาสมดุลและผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งยากมาก แต่ต้องทำให้ได้ และเมื่อเขา (สหรัฐฯ) ขาดดุล สิ่งที่เราทำได้ คือ เปิดตลาดให้กว้างขึ้น ในสิ่งที่สหรัฐอยากขาย และเราเองก็อยากซื้อด้วย แต่บังเอิญไม่ได้ซื้อกับเขา
ส่วนเรื่องส่งเสริมการลงทุนในสหรัฐนั้น อันนี้พอจะเข้าใจได้ เพราะการที่สหรัฐฯจะเป็นผู้ส่งออก สิ่งที่เขาต้องทำคู่ขนานกันไป คือ เขาต้องเป็นประเทศที่หันกลับมาเป็นผู้ผลิตให้ได้ America Great Again เราเข้าใจว่า สิ่งเหล่านั้น ต้องใช้เวลา ถ้าอเมริกาจะขายของ เราต้องมีฐานการผลิตประกอบด้วย”
นายพิชัย ขยายความว่า ในการเปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐ นั้น ประเทศไทยสามารถเปิดตลาดสินค้าประเภทวัตถุดิบจากสหรัฐฯได้ เช่น วัตถุดิบที่นำมาแปรรูปเป็นอาหารและอาหารสัตว์เลี้ยง รวมทั้งสินค้าในเช็กเตอร์พลังงาน ซึ่งไทยสามารถสั่งซื้อจากสหรัฐได้และสหรัฐเองก็อยากขายด้วย โดยปัจจุบันสหรัฐฯมีปริมาณสำรองก๊าซและน้ำมันค่อนข้างมาก และนอกจากการซื้อพลังงานแล้ว ไทยยังมีขีดความสามารถในการไปลงทุนด้านพลังงานในสหรัฐได้
“ในภาคเกษตรแปรรูป ปกติเราจะนำเข้าวัตถุดิบมาจากต่างประเทศ แล้วนำมาแปรรูปเป็นอาหารและอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเราเองต้องการมากและต้องหาซื้อจากทั่วโลก หรือในบางเซ็กเตอร์ เรามีสิ่งที่เราอยากซื้อและเขาก็อยากขาย คือ เซ็กเตอร์พลังงาน โดยสหรัฐฯมีสำรองค่อนข้างเยอะ ทั้งก๊าซธรรมชาติ และน้ำมัน อย่างก๊าซ สหรัฐขายในราคา 2-3 เหรียญต่อ 1 ล้านบีทียู มาเป็นเวลานานแล้ว ในขณะที่ตลาดสากลขายกันที่ 11 เหรียญบวกลบ
และนอกจากซื้อแล้ว เรามีขีดความสามารถไปลงทุนด้านพลังงานได้ด้วยหรือไม่ แล้วถามว่าจะต้องระวังเรื่องอะไรบ้าง ต้องเปิดรายการอะไรบ้าง เปิดด้วยอัตราภาษีเท่าไหร่ ซึ่งปัจจุบันเกือบทุกประเทศในโลกผ่านการทำ FTA มายาวนาน สินค้าหลายชนิดภาษีอยู่ที่ 0% และมีไม่เยอะที่ภาษีไม่ใช่ 0% ดังนั้น เมื่อสินค้าหลายอย่าง 0% อยู่แล้ว เราจะกำหนดภาษีที่ 0% หรือใกล้ 0% สำหรับของที่ไทยผลิตไม่ได้ และต้องนำเข้าจากที่อื่นอยู่แล้ว” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย ย้ำว่า “วันนี้สิ่งที่เราเสนอไป บางอย่างเราให้อัตราใกล้ๆ 0% ไปเลย โดยมูลค่าที่สหรัฐส่งมาไทยอยู่แล้วมีสัดส่วน 63-64% ก็เปิดให้เลย แล้วเรามานั่งดู ก็พบว่าสามารถเพิ่มไปได้ถึง 69% ของชนิดไม่เคยขาย แต่อยากให้เปิด อย่างบางรายการเราจะเปิด เพราะไม่คิดว่าเขาจะมี เช่น ลำไย เปิดเถอะครับ หรือปลานิล เปิดเถอะครับ ของเราตัวหนึ่งไม่ถึงสิบบาท แต่เขาตัวเท่าไหร่ ถ้าส่งมา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพื่อให้ market access (การเข้าถึงตลาด) สูงขึ้น
หรือแม้แต่เรื่องยานยนต์ ประเทศไทยเราถือเป็นประเทศที่ผลิตรถยนต์เยอะ เราก็กลัวไม่กล้าเปิด แต่ถ้าดูแล้ว ถ้าเปิดให้เข้ามา รถยนต์ของสหรัฐก็เข้ามาไม่ได้ เพราะพวงมาลัยรถอยู่ด้านซ้าย แล้วยังมีทั่วโลกให้ขายอีกเยอะแยะ สิ่งต่างๆเหล่านี้ เรามานั่งพิจารณาว่า ถ้าอะไรที่เข้ามาไม่ได้ หรือไม่มีให้ส่งเข้ามา ก็เปิด”
นายพิชัย กล่าวว่า ในส่วนของสินค้าหรือวัตถุดิบที่ประเทศไทยผลิตได้เอง แต่ผลิตได้ไม่เพียงพอ และต้องมีการนำเข้านั้น คงต้องมีการกำหนดอัตราภาษีเอาไว้ เพื่อปกป้องภาคการผลิตในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตร ซึ่งสินค้าบางชนิด เราแข่งขันไม่ได้ และต้นทุนการผลิตสูง จึงต้องให้เวลาเซ็กเตอร์เหล่านี้ปรับตัว เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งด้านราคาและด้านคุณภาพ รวมทั้งต้องมีการทบทวนในเรื่องดีมานด์และซัพพลายต่างๆ
“ถ้าเราไม่เจออย่างนี้ เราก็คงอยู่อย่างนี้ เป็นประเทศที่แข่งขันไม่ได้ แต่เมื่อมีวิกฤติมาบีบบังคับ อันนี้จะเป็นโอกาสที่เราจะปรับตัว โดยเฉพาะภาคเกษตร ทั้งการทบทวนดีมานด์ซัพพลาย ปรับปรุงพันธุ์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บริหารต้นทุน การเพิ่มคุณภาพสินค้า ใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น และเปิดตลาดใหม่ รวมถึงลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง ในขณะที่ภาคท่องเที่ยวเองก็ต้องปฏิรูปกันใหม่ว่า อะไรเป็นสิ่งที่เหมาะสม” นายพิชัยกล่าว
นายพิชัย กล่าวต่อว่า อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญและเป็นปัญหามากที่สุด คือ เรื่องภูมิรัฐศาสตร์และเกี่ยวกับประเทศที่สาม คือ เรื่อง Transshipment (การเปลี่ยนถ่ายสินค้า) และการสวมสิทธิส่งออกสินค้า ซึ่งมีความผูกพันกับการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (local content) และเท่าที่ได้รับทราบมา กติกาเกี่ยวกับ local content อาจเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่ขั้นต่ำอยู่ที่ 40% แต่ต่อไปขั้นต่ำอาจจะเพิ่มขึ้นไปเป็น 60-80% จะต้องนิยามคำว่า local content กันใหม่
นายพิชัย กล่าวถึงแนวทางการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐในช่วงเปลี่ยนผ่าน ว่า แบ่งเป็น 2 วิธี คือ 1.ผู้ประกอบการใหญ่ โดยเฉพาะเซ็กเตอร์ที่ผลิตและส่งออกไปสหรัฐ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และโน๊ตบุ๊ค ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทของสหรัฐ และมีมูลค่าเกินดุลการค้าคิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าที่ไทยเกินดุลสหรัฐในปี 2567 จำนวน 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้จะต้องพยายามไปพูดคุยกับทางการสหรัฐฯว่า เหตุใดจึงต้องอยู่ที่ไทย
2.กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ขาดเล็ก และภาคเกษตร รัฐบาลจะให้ธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดเตรียมเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) จำนวน 2 แสนล้านบาท บวกลบ คิดอัตราดอกเบี้ย 0.01% เพื่อช่วยเหลือลูกค้าแต่ละกลุ่ม เช่น การช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง หรือการให้สินเชื่อเพื่อปรับโครงสร้างการผลิตในช่วงการเปลี่ยนผ่าน เป็นต้น
ส่วนกรณีที่เป็นบริษัทใหญ่นั้น ธนาคารพาณิชย์ จะเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มนี้ และหากไม่เพียงพอ รัฐบาลจะเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติม
“มาตรการเยียวยาต่างๆเหล่านี้ เราเตรียมการมาระดับหนึ่งแล้ว” นายพิชัยกล่าว
นายพิชัย ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เมื่อได้ข้อสรุปผลการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯแล้ว จะต้องนำเรื่องเสนอให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วย และหากมีการยุบสภา ก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาแน่นอน
อ่านประกอบ :
‘พิชัย’ย้ำจุดยืนเจรจาภาษี‘สหรัฐฯ’ต้องไม่กระทบ‘ผู้ผลิต-เกษตรกร’-เชิญ‘ทักษิณ’ร่วมหารือ
‘ทักษิณ’ ผ่าทางตันเศรษฐกิจ เจรจาภาษีทรัมป์-กาสิโนเขมร-ตั้ง AMC ภาคประชาชนซื้อหนี้เสีย
‘พิชัย’ เผยผลเจรจา ‘ภาษีทรัมป์’ - ‘จุลพันธ์’ เชื่อ ครม.พ้นทั้งคณะ-นายกฯลาออก ไม่สะดุด
‘ทรัมป์’ เคาะอัตราเก็บภาษีสินค้านำเข้า 14 ปท. ไทยโดน 36% มีผลตั้งแต่ 1 ส.ค.
รับ'ฟีดแบ็ค'จัดทำข้อเสนอเพิ่ม! ‘พิชัย’เผยเจรจาภาษีการค้า‘สหรัฐฯ’ยังไม่ได้ผลสรุป‘สุดท้าย’

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา