
ป.ป.ช.ลงมติตั้งไต่สวนผู้เกี่ยวข้องคดีแจกกล้วยเพิ่มอีก 3 กลุ่ม ต่อจาก 5 สส. มีนักการเมือง-บิ๊กขรก.ทหาร-ตำรวจระดับนายพล เอี่ยวรวมยอดกว่า 131 คน หลังพบเส้นทางโอนเงินรับค่าเลี้ยงดูจากบริษัทรัฐมนตรี
จากกรณีสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอข่าวในช่วงเดือนมีนาคม 2568 ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ระหว่างไต่สวนคดีกล่าวหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (สส.) และอดีตสส. หลายราย ที่เกี่ยวข้องกับการได้รับเงินค่าเลี้ยงดู อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเกิดข่าวในช่วงอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รวม 11 คน ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วงปี 2565 ว่านักการเมืองบ้างกลุ่ม มีการแจกเงินให้ สส.พรรคเล็ก เดือนละ 1 แสนบาท เป็นค่าเลี้ยงดู เปรียบเทียบการจ่ายเงินดังกล่าวว่าเป็นการแจกกล้วย
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนคดีนี้เป็นทางการในช่วงปลายปี 2567 ปัจจุบันมี สส. และอดีต สส. จำนวน 5 ราย ปรากฏชื่อเป็นผู้ถูกกล่าวหา อยู่ในข่ายถูกไต่สวนคดี
ขณะที่จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกยังพบว่า มีการแจกเงินไปยังกลุ่ม สส.และเจ้าหน้าที่รัฐ เป็น 100 คน รวมวงเงินกว่า 200-300 ล้านบาท
ส่วนผู้ที่เป็นคนบงการให้เงินจำนวนดังกล่าว เบื้องต้นมีข้อมูลว่าเป็นคนใกล้ชิดของ "รัฐมนตรีสั่งการ" และจ่ายผ่านบัญชีของพนักงานในบริษัทเครือข่ายของ "รัฐมนตรีสั่งการ"

- ผ่าคดีแจกกล้วย 300 ล. ป.ป.ช.สอบระนาวร้อยคน-ขยายผล'รมต.สั่งการ'-ไต่สวน สส. 'ป.' ชื่อแรก
- แจกกล้วยพ่นพิษ! ป.ป.ช.ตั้งไต่สวน 5 สส.คดีรับเงินเดือนละแสน ปูดข่าวช่วงอภิปราย รบ.บิ๊กตู่
- คดีแจกกล้วยลาม! สส.-จนท.เอี่ยวนับร้อย วงเงิน 300 ล.-ป.ป.ช.สั่งขยายผลคนใกล้ชิดรมต.สั่งการ
สำนักข่าวอิศรา รายงานความคืบหน้าล่าสุดว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติตั้งไต่สวนกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกรณีนี้เพิ่มเติม จำนวน 3 กลุ่ม แยกเป็น
1. กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องทางการเมือง จำนวน 69 ราย
2. กลุ่มผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น จำนวน 16 ราย
3. กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 41 ราย มีทั้งทหารตำรวจข้าราชการมีระดับนายพลด้วย
หลังจากก่อนหน้านี้ ได้ตั้งไต่สวนกลุ่ม สส. และอดีต สส. จำนวน 5 ราย ปรากฏชื่อเป็นผู้ถูกกล่าวหา มีชื่ออักษรย่อ ป. 1 ราย , พ. 2 ราย , ค. 1 ราย และ ร. 1 ราย บางรายย้ายสังกัด ไปอยู่พรรคใหม่แล้ว
รวมจำนวนผู้เกี่ยวข้องที่ถูกตั้งไต่สวนกรณีนี้มีจำนวน 131 ราย
ขณะที่ในการไต่สวนคดีนี้ มีนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. และ นายประภาศ คงเอียด กรรมการ ป.ป.ช. เป็นคณะกรรมการไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 ระบุว่า ในการไต่สวนเรื่องใดที่เป็นเรื่องสําคัญมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง หรือเป็นกรณีมีการไต่สวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการไต่สวนเอง หรือจะแต่งตั้งกรรมการไม่น้อยกว่าสองคนและบุคคลอื่นเป็นคณะกรรมการไต่สวนก็ได้
โดยการไต่สวนกรณีนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเด็น คือ
1. การรับทรัพย์สินเกิน 3,000 บาท ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 128 ห้ามมิให้เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์และจำนวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด
2. การกระทำฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 17 ที่ระบุว่า ไม่กระทําการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ง ประกอบ ข้อ 27 วรรคสองระบุว่า การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมในหมวด 2 และหมวด 3 จะถือว่ามีลักษณะร้ายแรงหรือไม่ ให้พิจารณาถึงพฤติกรรมของการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ เจตนาและความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืนหรือไมปฏิบัติ
ส่วนผู้เกี่ยวข้องกลุ่มผู้จ่ายเงิน ได้แก่ ผู้ที่เป็นคนบงการให้เงินจำนวนดังกล่าว เบื้องต้นมีข้อมูลว่าเป็นคนใกล้ชิดของ "รัฐมนตรีสั่งการ" และจ่ายผ่านบัญชีของพนักงานในบริษัทเครือข่ายของ "รัฐมนตรีสั่งการ" อยู่ในอำนาจ ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะต้องตรวจสอบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 88 วรรคสอง และมาตรา 134, 135
โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 88 วรรคแรกระบุว่า ในกรณีที่พรรคการเมือง ผู้บริหารพรรคการเมือง หรือบุคคลใดให้เงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่สมาชิกซึ่งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมและไม่ว่าจะให้เป็นประจำหรือเป็นครั้งคราว ถ้าการให้หรือรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดนั้นไม่ เป็นความผิดตามมาตรา 144 หรือมาตรา 149 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้พรรคการเมืองผู้บริหารพรรคการเมือง หรือบุคคลนั้น แล้วแต่กรณี แจ้งให้นายทะเบียนทราบถึงการให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดนั้น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด และให้ประกาศให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปด้วย
ส่วนวรรคสอง ระบุว่า ห้ามมิให้สมาชิกซึ่งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลใดโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย เว้นแต่เงินที่ได้มีการแจ้งไว้ตามวรรคหนึ่ง
บทลงโทษตามกฏหมายนั้น กรณีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โทษร้ายแรงถึงขั้นห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต และห้ามไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
โทษการฝ่าฝืนรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเกิน 3,000 บาท มาตรา 128 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา