เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา 'ไพรวัลย์ เมืองพุทธา' อดีตนายก อบต.บ้านหอย ปราจีนบุรี ดำเนินโครงการฝึกอบรมศึกษาดูงานไม่ถูกต้องตามระเบียบ ล่าสุด ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ จากยกฟ้อง เป็นให้ลงโทษ จำคุก 6 เดือน - พวก 1 ราย โดน 1 ปี ได้รอลงอาญาทั้งคู่ - ป.ป.ช.ไม่ฏีกาสู้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา นายไพรวัลย์ เมืองพุทธา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บ้านหอย อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี กับพวก กรณีดำเนินโครงการฝึกอบรมศึกษาดูงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้บริหาร สมาชิกผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านพนักงานส่วนตำบล และพนักงานจ้างประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 พื้นที่จังหวัดหนองคาย และจังหวัดอุดรธานีและร่วมเดินทางไปท่องเที่ยวสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไม่ถูกต้องตามระเบียบ ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตาม ป.อ. มาตรา 147 มาตรา 153 มาตรา 157 มาตรา 161 มาตรา 162 (4) ประกอบมาตรา 90 และ มาตรา 86 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2563
คดีนี้ ปรากฏชื่อ นายไพรวัลย์ เมืองพุทธา จำเลยที่ 1 นายธวัฒน์ชัย ม่วงทอง จำเลยที่ 2 นางสาวนิภา จิตประกอบ จำเลยที่ 3 นายเศรษฐ์สันต์ นวล ละออง ที่ 4
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2
จากเดิม
ยกฟ้อง
แก้เป็นว่า
จำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 153 (เดิม), 157 (เดิม), 162 (4) (เดิม) , จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 157 (เดิม)
การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 153 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90
จำคุก จำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี และปรับ 20,000 บาท
จำคุก จำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี และปรับ 10,000 บาท
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท
โทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามมาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้ จัดการตาม มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดในศาลชั้นต้น
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 มีมติเห็นพ้องกับความเห็นอัยการสูงสุด (อสส.) ที่จะไม่ฎีกาคำพิพากษา
สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
มาตรา 157 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ