
พลเอก พิสิษฐ์ นพเมือง เจ้ากรมพระธรรมนูญ ลงนามในประกาศกรมพระธรรมนูญ เปิดรับฟังความคิดเห็นในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก 2457 ผ่านเว็บไซต์ระบบกลางทางกฎหมาย ตั้งแต่ 7 - 21 พ.ค.68 ตลอด 24 ชั่วโมง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 พลเอก พิสิษฐ์ นพเมือง เจ้ากรมพระธรรมนูญ ลงนามในประกาศกรมพระธรรมนูญ เรื่อง การรับฟังความคิดเห็นในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พระพุทธศักราช 2457 ผ่านเว็ปไซต์ระบบกลางทางกฎหมาย https://www.law.go.th/ และการสำรวจความคิดเห็น เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 และสิ้นสุดวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ (ยกเว้นวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 จะปิดระบบการรับฟังความคิดเห็นในเวลา 16.30 น.) โดยมีรายละเอียดประกาศ ดังต่อไปนี้
กรมพระธรรมนูญในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการบังคับใช้กฎหมายเห็นสมควรประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พระพุทธศักราช 2457 เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวบรรลุเป้าหมายในการมีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น การพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับหลักสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศ การลดความช้ำซ้อนและขัดแย้งกันของกฎหมาย การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
กรมพระธรรมนูญจะต้องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ตลอดจนต้องกระทำตามแนวทางการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่คณะกรรมการพัฒนากฎหมายโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีกำหนด ซึ่งจะต้องมีการประกาศการเปิดรับฟังความคิดเห็นและข้อมูลประกอบการรับฟังความคิดเห็น ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและแนวทางดังกล่าว กรมพระธรรมนูญจึงออกประกาศไว้ดังต่อไปนี้
วัตถุประสงค์ของการมีกฎหมาย
เพื่อกำหนดการรักษาความเรียบร้อยของประเทศเมื่อมีเหตุจำเป็น เช่น มีสงครามหรือจลาจล ไม่ว่าเหตุจะมีมาจากภายนอกหรือภายในประเทศ ‘โดยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน’ ในส่วนที่เกี่ยวกับการยุทธ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อยตลอดทั่วประเทศหรือเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศ
โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเต็มที่จะตรวจค้นเกณฑ์ ห้าม ยึด เข้าอาศัย ทำลายหรือเปลี่ยนแปลง และขับไล่ รวมถึงผู้มีอำนาจประกาศใช้กฏอัยการศึกอาจประกาศให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาแทนศาลพลเรือน
มาตรการสำคัญของกฎหมายที่กำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา
พระราชบัญญัติกฏอัยการศึก พระพุทธศักราช 2457 ได้กำหนดมาตรการสำคัญไว้ ดังต่อไปนี้
- เมื่อมีเหตุจำเป็นในการรักษาความเรียบร้อยของประเทศ พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของประเทศ และให้ใช้บังคับทุกมาตราหรือบางมาตราของกฎอัยการศึก หรือเมื่อมีสงครามหรือจลาจลที่เกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาทหาร ณ ที่แห่งนั้น ซึ่งมีกำลังอยู่ใต้บังคับบัญชาไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพัน หรือผู้บังคับบัญชาในป้อมหรือที่มั่นอย่างใด ๆ ของทหาร มีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึก ในเขตอำนาจหน้าที่ของกองทหารนั้น แต่จะต้องรีบรายงานให้รัฐบาลทราบโดยเร็วที่สุด
- การประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกแห่งใดนั้น จะเป็นไปได้ต่อมีประกาศกระแสพระบรมราชโองการเสมอ
- ในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนในส่วนที่เกี่ยวกับการยุทธ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อยและเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนต้องปฏิบัติตามความต้องการของเจ้าที่น้าที่ฝ่ายทหาร
- ในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก ศาลพลเรือนคงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้อย่างปกติ เว้นแต่คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาศึก และผู้มีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึกมีอำนาจประกาศให้ศาลทหารพิจารณาพิพากษาคดีอาญาซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก
- เมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึกในท้องที่แห่งใดเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเต็มที่จะตรวจค้น ที่จะเกณฑ์ ที่จะห้าม ที่จะยึด ที่จะเข้าอาศัย ที่จะทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่ และที่จะขับไล่
- ในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารได้ปฏิบัติและดำเนินการตามกฎอัยการศึกนี้ เป็นการกระทำเพื่อป้องกันพระมหากษัตริย์ ชาติ ศาสนา ด้วยกำลังทหารให้ดำรงคงอยู่ในความเจริญรุ่งเรืองเป็นอิสรภาพ และสงบเรียบร้อยปราศจากศัตรูทั้งภายนอกและภายในประเทศ หากมีความเสียหายจากการปฏิบัติดังกล่าว บุคคลหรือนิติบุคคลใด ๆ จะร้องขอค่าเสียหายหรือค่าปรับอย่างหนึ่งอย่างใดแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารไม่ได้เลย
- ในเวลาปกติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีอำนาจตรากฎเสนาบดีเพื่อบรรยายข้อความในเวลาที่จะใช้กฎอัยการศึก ส่วนในเวลาสงครามหรือจลาจล แม่ทัพใหญ่หรือแม่ทัพรองมีอำนาจออกข้อบังคับบรรยายข้อความเพิ่มเติมของกฎอัยการศึก เพื่อให้การดำเนินการต้องตามความประสงค์ของการใช้กฎอัยการศึก
ประโยชน์ที่คาดว่าประชาชนจะได้รับจากการมีกฎหมาย
เมื่อประเทศมีภัยอันตราย และเกิดความไม่สงบสุขขึ้น อันเนื่องมาจากเหตุสงครามหรือจลาจล กฎอัยการศึกเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อย ความผาสุกของประเทศ และเพื่อให้ประเทศดำรงคงอยู่ในอิสรภาพ รักษาความเป็นเอกราช อันคงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ตลอดจนสรรพสิ่งของประเทศ
ปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมาย สถิติการดำเนินคดีและการลงโทษตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติกฏอัยการศึก พระพุทธศักราช 2457 เป็นกฎหมายที่ใช้ในการบริหารประเทศในยามไม่ปกติ มิได้ใช้บังคับในเวลาประเทศอยู่ในเวลาปกติ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการมีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น และไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพของประชาชน แม้จะมีบทบัญญัติที่ที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะและความมั่นคงของประเทศอย่างยิ่ง ทั้งไม่มีบทกำหนดโทษในกฎหมายฉบับนี้ จึงไม่ปรากฎการกระทำความผิดหรือฝ่าฝืนดังกล่าวแต่ประการใด
อย่างไรก็ตาม เพื่อการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของการมีกฎหมายให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปจึงเป็นการสมควรรับฟังความคิดเห็นทั้งจากบุคคลภายในองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนกับการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา