‘ตุลาการผู้แถลงคดี’ แถลงคดี 4 กสทช. ฟ้อง ‘ประธาน กสทช.’ ชี้ ‘นพ.สรณ’ ละเลยหน้าที่ฯ ไม่เซ็นคำสั่งเปลี่ยนตัว ‘รักษาการเลขาธิการฯ’-ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยฯ ระบุ ‘มติ กสทช.’ มีผลผูกพันให้ต้องปฏิบัติตาม พร้อมเสนอถอดถอน ‘ไตรรัตน์’ พ้นรักษาการฯ-ตั้งกรรมการสอบฯ ภายใน 60 วัน
......................................
จากกรณีที่กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) 4 ราย ได้แก่ พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ ,ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต ,รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย และ รศ.ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ (ผู้ฟ้องคดีที่ 1-4) ยื่นฟ้อง ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. (ผู้ถูกฟ้องคดี) ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1764/2566 ซึ่งเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ฯ
โดยคดีนี้ 4 กสทช. ฟ้องว่า ประธาน กสทช. ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ กรณีไม่ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการ กสทช. และให้เปลี่ยนตัวรักษาการเลขาธิการ กสทช. จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น รวมถึงไม่ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง ผศ.ภูมิศิษฐ์ มหาเวศน์ศิริ เป็นผู้รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ซึ่งเป็นไปตามมติ กสทช. ในการประชุม ครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2566 ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงนำคดีมาฟ้อง นั้น (อ่านประกอบ : ละเลยหน้าที่! ‘4 กสทช.’ฟ้อง‘นพ.สรณ’ ปมไม่เซ็นแต่งตั้ง‘ภูมิศิษฐ์’นั่งรักษาการเลขาธิการฯ)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในการนัดพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ 1764/2566 นัดแรก เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ตุลาการผู้แถลงคดี ได้แถลงต่อองค์คณะตุลาการศาลปกครองกลาง โดยคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี สรุปสาระสำคัญได้ 5 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 การที่ ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. (ผู้ถูกฟ้องคดี) ไม่ปฏิบัติตามมติคณะกรรมการ กสทช. ในการประชุมครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2566 ในวาระที่ 5.22 ได้แก่
1.1 ไม่ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล (ผู้ร้องสอดที่ 1) และไม่ลงนามคำสั่งให้เปลี่ยนตัวรักษาการเลขาธิการ กสทช. จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น
1.2 ไม่แต่งตั้งนายภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ (ผู้ร้องสอดที่ 2) ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น
1.3 มีคำสั่งยกเลิกคณะกรรมการสอบวินัยนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล (ผู้ร้องสอดที่ 1) นั้น
ถือเป็นการละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากการบริหารงานในลักษณะขององค์กรกลุ่ม ที่ประกอบขึ้นจากกลุ่มบุคคลที่ทำหน้าที่กรรมการอย่างคณะกรรมการ กสทช. เมื่อคณะกรรมการมีมติ ย่อมมีผลผูกพันให้ต้องปฏิบัติตามเพราะตามเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้น การดำเนินการในฐานะกรรมการ ซึ่งต้องร่วมกันพิจารณาเรื่องใดๆ ประธานกรรมการจะตัดสินแทนกรรมการไม่ได้ และกรรมการคนใดคนหนึ่งจะทำแทนคณะกรรมการทั้งหมดก็มิได้ จะทำได้ก็ต่อเมื่อมีการมอบหมายจากคณะกรรมการเท่านั้น
นอกจากนี้ ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างคณะกรรมการ กสทช. กับสำนักงาน กสทช. แม้สำนักงานจะบริหารงานภายใต้เลขาธิการฯ ซึ่งมีประธานกำกับดูแล แต่ต้องอยู่ภายใต้คณะกรรมการ กสทช. อีกทีหนึ่ง
ประเด็นที่ 2 ศ.คลินิก นพ.สรณ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ละเลยต่อหน้าที่ กรณีไม่แต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล (ผู้ร้องสอดที่ 1) ซึ่งมีตำแหน่งบริหารในสำนักงานฯ ทั้งๆที่คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมีการแต่งตั้งตามมติกรรมการ กสทช. ได้รายงานข้อค้นพบว่า นายไตรรัตน์ (ผู้ร้องสอดที่ 1) อาจมีการกระทำที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ฝ่าฝืนกฎระเบียบของ กสทช. และบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) ที่สำนักงาน กสทช. ทำไว้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ กสทช. เสียงข้างมาก จึงมีมติให้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยนายไตรรัตน์ (ผู้ร้องสอดที่ 1) ซึ่ง ศ.คลินิก นพ.สรณ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ต้องปฏิบัติตามมติของ กสทช. แต่ไม่ทำ นอกจากนั้น ต่อมาศ.คลินิก นพ.สรณ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ยังเห็นชอบให้มีการยุติเรื่องการสอบวินัยนายไตรรัตน์ (ผู้ร้องสอดที่ 1) จึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่อย่างชัดเจน
ประเด็นที่ 3 ในเรื่องที่ ศ.คลินิก นพ.สรณ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ไม่ลงนามให้นายไตรรัตน์ (ผู้ร้องสอดที่ 1) พ้นจากตำแหน่งรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ตามระเบียบ กสทช.ว่าด้วยการรักษาการแทน การปฏิบัติการแทน และการปฏิบัติงานเฉพาะอย่างแทนในตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. และพนักงานของสำนักงาน กสทช. พ.ศ.2555 แม้กฎหมายจะไม่มีกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน และอาจส่งผลกระทบต่อนายไตรรัตน์ (ผู้ร้องสอดที่ 1) ในการประกันสิทธิของตนให้พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่
แต่ระเบียบฯดังกล่าวกำหนด ว่า ให้ประธาน กสทช. โดยความเห็นชอบของ กสทช. แต่งตั้งรองเลขาธิการ หรือ ผู้อำนวยการกลุ่มงานให้ปฏิบัติหน้าที่รักษาการแทนเลขาธิการกสทช. การที่ประธาน กสทช. จะแต่งตั้งหรือถอดถอนได้ ต้องได้รับมติเห็นชอบของ กสทช. แต่ในกรณีนี้ เมื่อ กสทช. มีมติแล้ว ประธานย่อมมีหน้าที่ปฏิบัติตามมติดังกล่าว
การที่ ศ.คลินิก นพ.สรณ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ไม่ดำเนินการถอดถอนนายไตรรัตน์ (ผู้ร้องสอดที่ 1) จนกว่าการสอบสวนวินัยจะเสร็จสิ้น จึงเป็นการละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ปฏิบัติ
ประเด็นที่ 4 เนื่องจากมติ กสทช. ในการประชุม ครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2566 ในวาระที่ 5.22 ยังไม่ถูกเพิกถอน จึงถือว่ายังมีผลอยู่ การที่ ศ.คลินิก นพ.สรณ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ไม่แต่งตั้งให้นายภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ (ผู้ร้องสอดที่ 2) ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นรักษาการเลขาธิการ กสทช. แทน จนกว่าการสอบสวนวินัยจะเสร็จสิ้น แม้จะมีการส่งบันทึกแจ้งเตือนเพื่อให้ดำเนินการตามมติถึง 2 ครั้ง จึงถือเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด แม้ว่านายภูมิศิษฐ์ จะเกษียณอายุไปแล้วก็ตาม
ประเด็นที่ 5 ตุลาการผู้แถลงคดี เห็นว่า ศาลฯควรมีคำสั่งให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้ และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่มีคำพิพากษา ได้แก่ 1.ถอดถอนนายไตรรัตน์ (ผู้ร้องสอดที่ 1) จากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. 2.ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยนายไตรรัตน์ (ผู้ร้องสอดที่ 1) 3.เมื่อนายภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ (ผู้ร้องสอดที่ 2) ได้เกษียณอายุราชการไปแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องออกคำบังคับต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีในศาลปกครองนั้น ถือหลักถ่วงดุลการใช้อำนาจระหว่างตุลาการ โดยกำหนดให้มีตุลาการเจ้าของสำนวนคนหนึ่ง ซึ่งแต่งตั้งจากตุลาการในองค์คณะที่พิจารณาพิพากษาคดีนั้น เป็นผู้ดำเนินการแสวงหาและรวบรวมข้อเท็จจริง และมีตุลาการอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้อยู่ในองค์คณะ เรียกว่า “ตุลาการผู้แถลงคดี” เป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบ และถ่วงดุลการทำหน้าที่ของตุลาการเจ้าของสำนวนและองค์คณะ
ทั้งนี้ แม้ว่าคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี จะไม่ใช่คำพิพากษา เพราะคำตัดสินขององค์คณะเท่านั้นที่จะถือเป็นคำพิพากษา แต่กฎหมายกำหนดให้ศาลปกครอง ต้องพิมพ์เผยแพร่คำพิพากษาขององค์คณะและคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีต่อสาธารณะด้วย
อ่านประกอบ :
ละเลยหน้าที่! ‘4 กสทช.’ฟ้อง‘นพ.สรณ’ ปมไม่เซ็นแต่งตั้ง‘ภูมิศิษฐ์’นั่งรักษาการเลขาธิการฯ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา