
‘ผู้ว่าฯ ธปท.’ รับมอบทองคำ 10 กิโลกรัม จากคณะศิษยานุศิษย์ฯ 'หลวงตาพระมหาบัว’ สมทบเข้าเป็น ‘ทุนสำรองเงินตรา’ แนะทุกฝ่ายทำงาน ‘สามัคคี’ รับมือพายุ ‘สงครามการค้า’ พร้อมระบุเรื่อง ‘เสถียรภาพ’ มีความจำเป็นสูงมาก ชี้ ‘หนี้ครัวเรือน-หนี้สาธารณะ’ เพิ่มขึ้น ยังชะล่าใจไม่ได้
......................................
เมื่อวันที่ 29 เม.ย. นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับมอบทองคำจำนวน 10 แท่ง น้ำหนักรวม 10 กิโลกรัม จากพระราชวชิรธรรมากร วิ. (คำสด อรุโณ) วัดป่าบ้านเพิ่มอำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี ประธานสงฆ์และผู้แทนคณะศิษยานุศิษย์พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน) ซึ่งทองคำดังกล่าว เป็นทองคำที่ได้รับจากการจัดงานบุญประเพณี “ผ้าป่า 12 เมษาฯ สืบหน่อต่อแขนงคลังหลวง บูชาพระคุณองค์หลวงตา” ตามเจตนารมณ์ของหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เพื่อสมทบเข้าเป็นทุนสำรองเงินตรา
สำหรับสินทรัพย์ที่ได้รับมอบมาทั้งหมดในช่วงก่อนหน้านี้ แบ่งเป็นทองคำแท่งน้ำหนักรวมประมาณ 13,129.832 กิโลกรัม และเงินตราต่างประเทศจำนวน 10,457,159.63 ดอลลาร์ สรอ. (ข้อมูล ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2567)
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวภายในงานรับมอบทองคำฯ ตอนหนึ่ง ว่า ธปท.รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้มารับทองคำในครั้งนี้ เพราะทองคำเหล่านี้ สำหรับ ธปท.แล้ว ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เนื่องจากเราทราบดีว่าทองคำนี้ มาจากหยาดเหงื่อของประชาชน ในขณะที่เศรษฐกิจก็อาจไม่ดีนัก รายได้ก็อาจไม่ได้โตอย่างที่ควรจะโต ค่าครองชีพก็สูง ราคาทองก็แพง แต่ประชาชนทั่วไปยังร่วมแรงร่วมใจกันบริจาคทองคำมา 10 กิโลกรัม และที่น่าประทับใจไปกว่านั้น คือ ทองคำ 10 กิโลกรัมดังกล่าว ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากพวกมหาเศรษฐี หรือพวกคนมั่งมี แต่มาจากบุคคลทั่วไป
“เราเองรู้สึกซาบซึ้งมาก ทองคำนี้ ตอนที่เราตรวจ เราพบว่ามีค่าความบริสุทธิ์ 99.99% แต่ถ้านึกถึงการที่คนมาบริจาค เหมือนความบริสุทธิ์ทางใจนี่ 100% เลย เพราะคนที่มาบริจาคทองคำนี้ ผมมองว่า ไม่เหมือนกับคนที่บริจาคแล้ว ไปสร้างศาลา อาคารต่างๆ มีชื่อติด คนก็เห็น แล้วยกย่องได้ แต่คนที่บริจาคทองคำ คือ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ เพราะจะเป็นชื่อ เป็นใครอะไร ก็ไม่ทราบได้ บริจาคด้วยแรงศรัทธา โดยทองคำนี้ สำหรับเรา คือ ธปท.นี้ เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นสิ่งที่เรามองว่าเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ว่าได้” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ในฐานะที่ทำหน้าที่เป็นผู้ว่าฯ และเป็นตัวแทนของ ธปท. อยากจะให้พระอาจารย์และญาติโยมทั้งหลายสบายใจในเรื่องความปลอดภัย ซึ่งไม่ใช่แค่ทองคำล็อตนี้ แต่เป็นทองคำทั้ง 13,129 กิโลกรัม ขอเรียนทุกท่านว่า ทองคำดังกล่าวอยู่ครบทั้งหมด ไม่เคยมีการหยิบออกมาใช้แต่ประการใด ยังอยู่ครบถ้วน ซึ่งตอนนี้ทองคำดังกล่าวเก็บอยู่ที่ห้องมั่นคงของ ธปท. สาย 7 นครชัยศรี และมีการตรวจสอบจากคณะกรรมการฯที่ดูแลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง รวมทั้งมีการสุ่มตรวจทองคำหรือคิดเป็น 3% ของทองคำทั้งหมด อย่างละเอียดในทุกๆ 5 ปี
@ชี้‘ทองคำหลวงตาฯ’ใน’คลังหลวง’ช่วยเรื่อง‘เสถียรภาพ’
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า นอกจากความปลอดภัยในเชิงวัตถุแล้ว ความปลอดภัยอีกอย่างที่สำคัญ คือ เรื่องความปลอดภัยในเชิงกรอบกฎหมายที่ปกป้องทองคำเหล่านี้ โดยปัจจุบันมี พ.ร.บ. 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ธปท. และ พ.ร.บ.เงินตรา ที่ช่วยคุ้มครองความปลอดภัยของทองคำที่หลวงตาพระมหาบัวได้บริจาคมา ซึ่งทองคำของหลวงตาฯเหล่านี้ จะอยู่ในบัญชีสำรองพิเศษ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 บัญชีย่อย ของบัญชีทุนสำรองเงินตราอีกที หรือหากเทียบเคียงแล้วก็คือ เงินก้นถุง จึงมีความปลอดภัยในแง่กฎหมาย
อย่างไรก็ตาม หากมีการแก้ไขกฎหมายที่ให้รวมบัญชีทุนสำรองเงินตรา กับบัญชีที่ใช้ในการทำธุรกรรมซื้อขายเพื่อดูแลเสถียรภาพต่างๆ เช่น ค่าเงิน หรือที่เรียกกันภายในว่า ‘บัญชีเจน’ ก็จะทำให้เกิดอันตรายหรือความสุ่มเสี่ยงต่อทองคำและเงินที่บริจาคฯที่อยู่ในบัญชีสำรองพิเศษ อย่างไรก็ดี ตราบใดที่ตนยังอยู่ตรงนี้ จะดูแลไม่ให้เรื่องตรงนี้เกิดขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง เพราะหากมีการรวมบัญชีตรงนี้ ก็มีโอกาสเกิดความเสี่ยงต่อทุนสำรองเงินตรา รวมถึงทองคำและเงินที่บริจาคที่มาจากโครงการผ้าป่าช่วยชาติฯ จะถูกนำไปใช้ได้
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวต่อว่า ทองคำหรือเงินดอลลาร์ที่บริจาคผ่านโครงการผ้าป่าช่วยชาติฯเข้ามาเก็บไว้ที่ ธปท.นั้น มีประโยชน์หลายด้าน แต่ถ้าเป็นในแง่เสถียรภาพแล้ว อันแรกเลย ทองคำที่บริจาคเข้ามาและอยู่ในบัญชีทุนสำรองเงินตรา จะมีส่วนหนุนหลังธนบัตรที่นำออกใช้ในทุกวันนี้ โดยทองคำของหลวงตาฯจึงมีส่วนช่วย เหมือนเป็นกองกำลังที่อยู่ข้างหลัง คอยช่วยหนุนธนบัตรที่นำออกใช้ต่างๆ
“ถามว่าตรงนี้สำคัญอย่างไร ถ้าลองนึกภาพ ประเทศที่เราเห็น พูดง่ายๆ คือ เขาพิมพ์เงินออกไป ตัวอย่างที่เราเห็นตามข่าว ประเทศอาร์เจนตินา เวเนซุเอลา หรือซิมบับเว ที่เงินเฟ้อวิ่งไปเป็น 100% เป็น 1000% ค่าครองชีพสูงขึ้น เงินไม่มีค่า เพราะคนรู้ว่าไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลัง และไม่มีอะไรที่ห้ามไม่ให้รัฐบาลไปพิมพ์อะไรออกมามากมาย ตัวนี้จึงเป็นการทำลายเสถียรภาพอย่างชัดเจน การที่เรามีทุนสำรองเงินตรา ช่วยให้เสถียรภาพราคาและธนบัตรที่ออกใช้มีค่า
และทั้งหมดนี้ รวมกันแล้ว ถือเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเรื่องเสถียรภาพด้านต่างประเทศ แล้วเราก็เห็น ประเทศที่ทุนสำรองระหว่างประเทศไม่พอ เสถียรภาพด้านค่าเงินก็จะไม่มี ค่าเงินจะอ่อนไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่เห็นในเพื่อนบ้านของเรา ที่ลาวในตอนนี้ และตอนที่ค่าเงินอ่อนไปมากๆสุดท้ายแล้ว สินค้านำเข้า ของที่จำเป็นต่างๆ เช่น น้ำมัน ยา ราคาจะแพงขึ้น การที่เรามีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงพอ จะช่วยเรื่องเสถียรภาพในด้านนี้” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวด้วยว่า การที่คณะศิษยานุศิษย์ฯนำทองคำมามอบให้ ธปท. ยังถือเป็นส่งสัญญาณว่า ให้ความไว้วางใจกับ ธปท. ซึ่งสำหรับธนาคารกลางแล้ว ไม่มีอะไรที่มีความสำคัญมากกว่าความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ โดยทุกอย่างที่ ธปท. หรือธนาคารกลางทุกทีทำได้ มาจากความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ การที่คนเชื่อว่าธนบัตรที่พิมพ์ออกมาใช้ มีค่า และไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆธนาคารกลางจะพิมพ์ธนบัตรออกมาเยอะๆ เหล่านี้ทำให้คนไว้ใจว่า 100 บาท ก็คือ 100 บาท อันนี้มาจากความไว้วางใจที่มีต่อธนาคารกลาง แต่ถ้าตรงนี้หายไป เสถียรภาพพวกนี้จะไปหมด
@พายุ‘สงครามการค้า’กำลังมา ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า หากจะว่าไปแล้ว ตอนนี้ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยอาจมีมากกว่าตอนที่เริ่มโครงการผ้าป่าช่วยชาติฯพอสมควร ตอนปี 2541 ทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ ณ วันนี้ ทุนสำรองระหว่างประเทศมีอยู่ 2.76 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ทวีคูณขึ้นมากว่า 10 เท่า ส่วนหนึ่งมาจากความศักดิ์สิทธิ์ของโครงการฯที่เข้าไปช่วยเรื่องทุนสำรองเงินตราของประเทศ แต่เรายังชะล่าใจไม่ได้ เพราะแม้ว่าเสถียรภาพของเราจะดีกว่าปี 2540-2541 อย่างชัดเจน แต่หากเทียบกับเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ก็ไม่ได้แข็งแรงเท่าที่ควรจะเป็น
“ถ้าเราดู ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เราชะล่าใจในเรื่องเสถียรภาพไม่ได้ ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และถ้ามองไปข้างหน้า ทุกคนทราบกันดีว่า พายุกำลังมา เห็นชัดว่าพายุกำลังมาจากเรื่องสงครามการค้าที่เกิดขึ้น และเราก็เห็นแล้วว่า มาแน่นอน ถึงแม้ยังไม่เกิดเต็มที่ ผลยังไม่เห็นชัดเจนก็ตาม แต่เชื่อได้ว่า มาแน่นอน ดังนั้น ในช่วงนี้ เราจึงมีความจำเป็นต้องใส่ใจเรื่องเสถียรภาพ ซึ่งมีความจำเป็นที่สูงมาก
ถ้าเทียบเคียงก็เหมือนกับเรือที่ออกไป แล้วเราเห็นว่าพายุกำลังมา เราก็ต้องทำเรือของเราให้มันแน่น อุดรูรั่วอะไรต่างๆ หันหน้าเข้าหากัน ทำงานเพื่อส่วนรวม ทำงานกันอย่างสามัคคี เราจะบอกว่า เราอยู่ในส่วนนี้ของเรือ ผมมั่นใจว่าห้องของผมไม่รั่ว มันไม่ได้ เพราะถ้าส่วนอื่นของเรือรั่ว เรือก็ไปด้วยกันหมด เรื่องความเสียสละ ความสามัคคี ความร่วมมือร่วมใจ ผมว่าเป็นอะไรที่สำคัญและมีความจำเป็นอย่างสูงในยามนี้ และผมคิดว่าคำสอนของหลวงตาฯที่ท่านกล่าวเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว ยังมีเหมาะสมอย่างสูงกับสถานการณ์ที่เรากำลังเจอ
ท่านสอนว่า ถ้าประเทศมีปัญหา ไปไม่รอด ทุกคนไม่ว่าเศรษฐี พ่อค้า ประชาชน ก็พังไปกันหมด ถ้าเทียบเคียงกับเรือที่ว่า ถ้าตรงนี้ไม่รั่ว แต่ตรงอื่นรั่ว แล้วเราไม่ช่วยกันอุดรู ท้ายที่สุดเรือก็ไปกันหมด แล้วท่านยังกล่าวในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของคลังหลวงฯ ท่านกล่าวไว้ว่า เมืองไทยไปรอด ได้ด้วยพลังของความสามัคคี และความรักชาติทั้งหลายเหล่านี้ อย่างอื่นไม่มี เราอย่าไปหวังพึ่งภายนอกเขา ชาติไหน ภาษาใดก็ตาม เราอย่าไปหวังพึ่ง มีคนไทยเราเท่านั้น อันนี้เป็นความพิเศษของประเทศไทยจริงๆ ที่เรามีน้ำใจ รักชาติ ทุ่มเท เสียสละ เช่น ร่วมกันบริจาคทองคำต่างๆ” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
@‘ทองคำ’ที่เป็น‘ทุนสำรองฯ’ฝากกับ‘ธนาคารกลาง’ที่น่าเชื่อถือ
นายเศรษฐพุฒิ ยังตอบคำถามเกี่ยวกับการเก็บรักษาทองคำที่เป็นทุนสำรองฯของ ธปท. ว่า มีการเก็บไว้ในต่างประเทศหรือไม่ เก็บไว้ในประเทศที่มีความสุ่มเสี่ยงบ้างหรือไม่ และสามารถนำทองคำเหล่านี้กลับมาประเทศไทยได้หรือไม่ ว่า “หากตอนสั้นๆ ใช่ เรามีการเก็บทองคำไว้ในต่างประเทศ แต่ขอย้ำว่าทองคำของหลวงตาฯ ทุกบาททุกสตางค์ทุกเม็ดของทองคำ 13,129 กิโลกรัม เก็บที่เมืองไทย ที่ห้องมั่นคงของ ธปท. ที่สาย 7 ส่วนทองคำที่อยู่ในต่างประเทศ เป็นทองคำส่วนอื่นที่เราไปซื้อจากต่างประเทศ
ถ้าถามว่า ทำไมจึงอยู่ต่างประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า ธปท. รวมถึงธนาคารกลางทุกที่ ตอนที่เขาซื้อทองคำ จะซื้อในปริมาณมาก จึงต้องซื้อในที่ที่ตลาดทองคำมีขนาดใหญ่พอ และมั่นใจได้ว่าคุณภาพทองคำได้มาตรฐานในระดับสากล และจากการที่ทองคำอยู่ในต่างประเทศ ถามว่าจะนำกลับมาในประเทศได้หรือเปล่า ก็บอกว่า ได้ในหลักการ แต่ในทางปฏิบัติมีความสุ่มเสี่ยงมาก เพราะการขนย้าย มีความเสี่ยงสูงในการถูกโจรกรรม และต้นทุนการขนย้ายก็สูงมาก
ถ้าจะย้ายจริงๆ คือ ขายทองคำที่โน่น แล้วมาซื้อที่นี่ แต่ก็ติดปัญหาว่า ปริมาณทองคำที่ซื้อจะต้องสูง แล้วธนาคารที่อื่นก็ทำอย่างนี้ เก็บไว้ในต่างประเทศ และเก็บไว้ในที่ต่างๆ ส่วนที่ถามว่าเราเก็บไว้ที่ไหน ต้องขออภัยว่า เป็นความลับ แต่เรียนได้ว่าเราฝากไว้กับธนาคารอื่นที่มีความน่าเชื่อถือสูง ที่เราดูแล้วว่า มีกระบวนการเก็บทองคำที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน มีการรายงานให้เราสบายใจว่า ทุกอย่างปลอดภัย แล้วธนาคารกลางอื่น ก็ฝากทองไว้ที่นั่นด้วย และที่ที่เราฝากไว้ เขาไม่อนุญาตให้เราเปิดเผยว่าเก็บไว้ที่ไหน แล้วเราไม่ได้ฝากไว้ที่เดียว มีการกระจาย เพื่อปกป้องเรื่องความเสี่ยง”

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา