
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เผย ที่ประชุมติดตามมาตรการการค้าสหรัฐอเมริกา เคาะ 6 แนวทาง แก้ปัญหา ‘โดนัล ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าไทย 36 % เตรียม ซื้อข้าวโพด-ก๊าซธรรมชาติ ส่งเสริมเอกชนไทยที่มีศักยภาพลงทุนในสหรัฐฯ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมติดตามมาตรการการค้าสหรัฐอเมริกา ที่มีนางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า เป็นการะดมสมองจากข้อมูลที่เตรียมตัวมาหลายเดือน เราทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่าสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ซึ่งคาดไว้แล้วว่าจะมีมาตรการออกมาสองประเภท โดยดูจากประเทศและประเภทของสินค้า
“พอสหรัฐฯประกาศว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย 36 % ทำไมเราไม่รีบเลย โทรไปหา เจรจาเลย จริง ๆ เรารู้ว่า เรื่องไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ไม่ได้จบง่าย ๆ”นายพิชัยกล่าว
นายพิชัยกล่าวว่า เราก็มานั่งดูว่า ความต้องการลึก ๆ ของสหรัฐฯ คือ อะไร ข้อสำคัญที่สุด เป็นสิ่งที่เราอยากทำด้วย และได้ประโยชน์ด้วย ซื้อเท่าที่เราอยากซื้อและแข่งขันได้ ประกอบด้วย 1.นำเข้าสิ่งที่ขาดเพื่อแปรรูป เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4 ล้านตัน เครื่องในสุกร 2.ลดหรือยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ที่ไทยได้ภาษีเพียงเล็กน้อยกว่า 100 รายการ 3.ลดขั้นตอนและกลไกที่เป็นอุปสรรคทำให้สหรัฐฯเกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น เพื่ออำนวยความสะดวกและรวดเร็ว 4.กลไกที่ไม่เกี่ยวกับภาษี หรือ เก็บภาษีพิเศษกับบางประเทศ ไม่เก็บกับบางประเทศหรือไม่ หรือเรียกว่า เครื่องหรืออุปสรรคที่ไม่เกี่ยวกับภาษี (Non tariff barrier)
“เราจะดูสินค้าที่เข้าไทย โดยของที่มาจากประเทศอื่นหรือสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเต็มที่ เราจะออก certificate of origin หรือต้นถิ่นกำเนิดของสินค้า เราจะทำให้ถี่ถ้วนยิ่งขึ้น รอบคอบยิ่งขึ้น เพื่อทำให้สินค้าที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านเกิดน้อยที่สุด”นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยกล่าวว่า 5.ประเทศไทยเริ่มเติบโตมานานและมีการลงทุนมาหลายสิบปี วันนี้มาถึงจุดที่อุตสาหกรรมหลายอย่างขาดแคลนวัตถุดิบ แต่โครงสร้างการผลิตยังอยู่ เช่น ปิโตรเคมี ไฟฟ้า ซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติ ยังขาด 2,700 ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และทุกครั้งต้องไปซื้อกับประเทศตะวันออกกลาง แต่วันนี้ต้องมาจัดสรรสิ่งเหล่านี้ใหม่ และ 6.การสนับสนุนบริษัทเอกชนไทยให้ไปลงทุนในสหรัฐฯมากขึ้น โดยดูที่ศักยภาพและมีความต้องการสินค้านั้น
“เราไม่ได้ทำเพราะว่า สหรัฐฯยื่นข้อเสนอโหดมา ขู่มา แต่สิ่งที่เราจะทำ คือ เราจะดูว่า เราต้องการอะไร มีขีดความสามารถอะไรที่จะแก้ปัญหาและได้ประโยชน์ด้วย อยากให้ความมั่นใจว่า วิธีแก้ปัญหาของประเทศไทย เราจะต้องแก้ปัญหาที่เป็น win-win solution”นายพิชัยกล่าว
นายพิชัยกล่าวว่า หลังจากนี้ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์จะไปดำเนินการต่อไปในรายละเอียด เพื่อเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือออกเป็นประกาศ เพื่อไปเจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หรือ United States Trade Representative (USTR)
“เราจะไม่รีบพูด คนที่พูดและเสนอไป ลดฟรี พูดฟรี ไม่ได้อะไร สิ่งที่เราทำคือสิ่งที่ไปแก้ปัญหาของสหรัฐฯ ถ้าเราคิดว่าเราอ่านโจทย์ได้ เราก็จะเดินทาง ไม่รีบทันทีว่าต้องไปพรุ่งนี้ ขอเวลาทำโจทย์ให้ละเอียด เมื่อไปคุยแล้ว ต่อไปจากนี้ 1 ปีนี้ ถึง 5 ปีข้างหน้า ทุกอย่างทำได้ ประสบความสำเร็จทั้งสองฝ่าย”นายพิชัยกล่าวและว่า ใน 5 ปีแรกต้องทำให้เห็นว่าจะเดินไปในทิศทางใด หลัง 5 ปี ไทยกับสหรัฐฯการค้าจะสมดุลกัน
เมื่อถามว่าจะเดินทางไปสหรัฐฯเมื่อใด นายพิชัยกล่าวว่า as soon as possible (โดยเร็วที่สุด) ที่โอกาสเปิดทั้งสองทาง เพราะเวลาไปต้องมั่นใจในสิ่งที่เราไปคุย ถ้าไปบอกแล้วปฏิบัติไม่ได้ก็ไม่ดี ต้องนั่งทำงานหนักใน 2 วันนี้ เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่เราคิด ทำได้
เมื่อถามว่า เรื่องวีซ่ามีปัญหาหรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า วีซ่ากระทรวงต่างประเทศเป็นคนออก กระทรวงต่างประเทศต้องเป็นคนช่วย ไม่มีปัญหา เพราะไปเพื่อทำงานให้กับทั้งสองประเทศ
เมื่อถามว่า สามารถพึ่งพารัฐบาลนี้ได้หรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า “ไม่พึ่งพารัฐบาลนี้ พึ่งพาใครครับ ช่วยเนมหน่อยครับ ผมจะวิ่งไปหาครับ ต้องพึ่งพาสิครับ ต้องเชื่อถือสิครับ ต้องให้ความเชื่อมั่น รัฐบาลจะได้มีแรง ความเห็นต่างให้น้อยลงนิด เดี๋ยวจะจบเอง”

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา