
ศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง พิพากษายกฟ้อง 4 กสทช. 'ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ-พิรงรอง รามสูต -ศุภัช ศุภชลาศัย-สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์' รวม 'ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ' คดี ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล กล่าวหาลงมติปลดพ้นเก้าอี้ ‘รักษาการเลขาฯ’ โดยมิชอบ ชี้พยานหลักฐานมีน้ำหนักไม่เพียงพอ - ผู้พิพากษา 1 ราย มีความเห็นแย้งว่าผิด แต่ให้รอลงอาญา
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 เมษายน 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีนัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อท 155/2566 ซึ่งเป็นคดีที่นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (โจทก์) ยื่นฟ้อง พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการ กสทช. (จำเลยที่ 1) ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. (จำเลยที่ 2) , รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย กรรมการ กสทช. (จำเลยที่ 3) ,รศ.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ กรรมการ กสทช. (จำเลยที่ 4) และ ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการ กสทช. (จำเลยที่ 5) ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 157 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172
โดยศาลฯ มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 5 ราย หลังศาลพิเคราะห์เเล้ว เห็นว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้ง 5 ได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่เห็นว่าคณะกรรมการ กสทช.มีอำนาจหน้าที่ตาม พรบ.จัดสรรคลื่นความถี่ ตามมาตรา 27 มีหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่มีคุณภาพและเป็นธรรมเเละมาตรา 20 มีหน้าที่อนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายพิจารณาให้ความเห็นชอบจัดสรรงบประมาณและอนุมัติโดยคำสั่งตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ หรือตามที่รับมอบหมาย
การมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการสนับสนุนซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2022 เป็นการได้กระทำการตามที่ระเบียบ กสทช. กำหนดไว้
ข้อเท็จจริงเห็นได้ว่าในการตรวจสอบข้อเท็จจริงการสนับสนุนค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดดังกล่าวได้กระทำตามอำนาจหน้าที่โดยมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงสรุปความคิดเห็นเสนอต่อที่ประชุม กสทช.ตามลำดับจัดการตรวจสอบและการประชุมรวม 7 ครั้งภายใน3 เดือนตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ - 28 เมษายน 2566
จากพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งหมดมิได้มีข้อพิรุธแต่ประการใด การตรวจสอบข้อเท็จจริงมีรายละเอียดชัดเจนโจทก์ในฐานะเลขาธิการ กสทช. จะมีการฝ่าฝืนข้อปฏิบัติของพนักงานรัฐ และผิดวินัย และการที่จำเลยที่1-4 มีมติเห็นชอบผลการสอบสวนวินัยแก่โจทก์เป็นการเสนอตามระเบียบวาระการประชุมชอบด้วย พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงแห่งชาติปี 2553 ประกอบระเบียบฯเรื่องวาระการประชุม
ส่วนการแต่งตั้งจำเลยที่ 5 มารักษาการแทนก็เป็นผลจากการที่โจทก์มีการพิจารณาต่อเนื่อง ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเป็นการพิจารณาตามวาระการประชุมที่ชอบด้วยบทบัญญัติด้วยเช่นกัน
ในส่วนจำเลยที่ 5 เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 5 เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ซึ่งเป็นไปตามระเบียบจากวาระที่ประชุมพยานหลักฐานโจทก์ ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 5 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
การกระทำของจำเลยทั้ง 5 ชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของจำเลย เพราะไม่ทำให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลง พิพากษายกฟ้อง
@ ผู้พิพากษา 1 ราย มีความเห็นแย้งว่าผิด แต่ให้รอลงอาญา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้มีผู้พิพากษาที่พิจารณาในสำนวนได้ทำความเห็นแย้งแนบท้ายคำพิพากษา ซึ่งเป็นผลร้ายแก่จำเลย โดยระบุว่าการทำหน้าที่ของจำเลยที่1-4 ไม่โปร่งใสมีความจงใจให้โจทก์ออกจากตำแหน่งได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงเป็นที่เคลือบเเคลงความสงสัยต่อการทำหน้าที่
การกระทำของจำเลยที่1-4 เป็นความผิดตามโจทก์ฟ้อง
ส่วนจำเลยที่5 ก็กระทำความผิดในการเร่งรัดขั้นตอน ในการเข้ามารับหน้าที่รักษาการแทน และเห็นว่าภายหลังมีคำสั่งยกเลิกการสอบสวนโจทก์ทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ไม่เลวร้ายพฤติกรรมแห่งคดีการลงโทษจำเลยทั้ง 5 ไม่มีประโยชน์จึงให้รอการลงโทษ พิพากษาว่าจำเลยทั้งห้ากระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา83 พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 172 ให้ลงโทษจำคุกคนละหนึ่งปีปรับคนละ 100,000 บาทโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
ทั้งนี้ ภายหลังอ่านคำพิพากษา ศาลได้อธิบายเรื่องความเห็นเเย้งว่าเนื่องจากคดีนี้มีความเห็นแย้งของผู้พิพากษาที่พิจารณาในสำนวนที่เป็นผลร้ายต่อจำเลย โดยองค์คณะมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โดยให้ทำคำพิพากษาแนบท้ายไว้เพื่อศาลสูงพิจารณาต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการเข้ารับฟังคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง จำเลยทั้ง 5 ราย เดินทางมาเข้ารับฟังคำพิพากษาครบทุกราย ส่วนโจทก์ไม่ได้เดินทางมา
ขณะที่ ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กล่าวก่อนเข้ารับฟังคำพิพากษาว่า หวังว่าจะได้รับความยุติธรรม ยืนยันว่าทำหน้าที่อย่างสุจริตและเพื่อประโยชน์ของประชาชน

สำหรับคดีนี้โจทก์ (นายไตรรัตน์) ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2566 คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีคำสั่ง กสทช. (ลับ) ที่ 7/2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดำเนินการของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
โดยอนุกรรมการที่ได้รับแต่งตั้ง เป็นบุคคลที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นผู้เสนอให้เข้ามาทำหน้าที่ในคณะอนุกรรมการเองทั้งสิ้น อันอาจมีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้อง และมติที่ประชุม กสทช. รวมทั้งข้อเสนอของ กกท. ที่ได้ยื่นการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.) ตลอดจนบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 เม.ย.2566 คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง จัดทำรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริง (ลับ) โดยคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว ได้ประชุมพิจารณา และมีความเห็นในการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 6/2566 ด้วยคะแนนเสียงส่วนมาก 4 เสียง มีความเห็นว่า
กรณีการดำเนินการสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย อาจมีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้อง และมติที่ประชุม กสทช.รวมทั้งข้อเสนอของ กกท. ที่ได้ยื่นการขอรับการสนับสนุนจาก กองทุน กทปส. ตลอดจนบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ที่ได้ทำกับสำนักงาน กสทช.
ส่วนอนุกรรมการอีก 2 เสียง ไม่ลงความเห็น ความเห็นของคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เป็นแต่เพียงความเห็นลอยๆ ว่า อาจมีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้อง และมติที่ ประชุม กสทช. รวมทั้งข้อเสนอของ กกท. ที่ได้ยื่นการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนา กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.) เท่านั้น
ต่อมาในวันประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 วันศุกร์ที่ 9 มิ.ย.2566 ระเบียบวาระที่ 5.22 : รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดำเนินการของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด รายการแข่งขัน ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายนั้น ที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้
1.รับทราบรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินการของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุน ค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์ การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
2.ที่ประชุมมีการพิจารณาข้อเสนอตามรายงานฯ ข้อ 1 ที่เสนอว่า การดำเนินการของ การกระทำของ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล (โจทก์) รองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย อาจมีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศที่เกี่ยวข้อง และมติที่ประชุม กสทช. รวมทั้งข้อเสนอของ กกท. ที่ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุน กทปส. ตลอดจน บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ที่ได้ทำไว้กับสำนักงาน กสทช.
โดยจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ลงมติเสียงข้างมากให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ และลงมติให้มีการเปลี่ยนตัวรองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. (หมายถึงโจทก์) จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น
การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่พิจารณาลงมติระเบียบวาระที่ 5.22 เป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ.2555 ข้อ 21 และข้อ 29 ดังนั้น จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะ กสทช. จึงไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการลงมติให้ประธานกรรมการหรือสำนักงาน กสทช. แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ได้สมคบกันเพื่อใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะกรรมการ กสทช. โดยวางแผนการและแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อให้ที่ประชุม กสทช. ในการประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 วาระที่ 5.22 มีมติปลดโจทก์ (นายไตรรัตน์) ออกจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อเอื้อประโยชน์ มีมติปลดโจทก์ออกจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อเอื้อประโยชน์ให้จำเลยที่ 5
และแม้ว่าต่อมาที่ประชุม กสทช. จะได้มีการพิจารณาทบทวนมติดังกล่าว และมีการลงมติใหม่อีกครั้งให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยตามระเบียบ กสทช. ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ.2565 แต่ด้วยเจตนาทุจริตจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4 ก็ยืนยันเสนอและลงมติไม่เห็นชอบให้โจทก์ดำรงตำแหน่งรักษาการ เลขาธิการ กสทช. จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น ทั้งนี้ เพื่อเปิดทางให้จำเลยที่ 5 มาดำรงตำแหน่งแทนโจทก์
อีกทั้งการที่จำเลยที่ 5 มีคำสั่งแต่งตั้งให้ศาสตราจารย์ ส. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมาเป็นประธานกรรมการสอบสวน ซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องมีการติดต่อประสานกับบุคคลนั้นก่อนว่า ยินดีจะรับเป็นประธานกรรมการสอบสวนหรือไม่ และต้องตรวจสอบว่าบุคคลดังกล่าวมีคุณสมบัติตามประกาศฯ ข้อ 3 หรือไม่ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่จำเลยที่ 5 ซึ่งเพิ่งได้รับหนังสือจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เพียงวันเดียว กลับสามารถออกคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนลงวันที่ 16 มิ.ย.2566 ได้ทันที แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 5 รับรู้ล่วงหน้าและสมคบกับจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 4
การกระทำของจำเลยทั้งห้า ทำให้โจทก์หมดโอกาสในการเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน และทำให้โจทก์ได้รับผลกระทบต่อการพิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ซึ่งจะมีขึ้นในภายภาคหน้าต่อไปด้วย
นอกจากนี้ ภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 ได้ร่วมกันลงมติตามระเบียบวาระ 5.22 ในการประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2566 และจำเลยที่ 5 ได้จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์แล้ว ปรากฏว่าสื่อมวลชนได้มีการนาเสนอและเผยแพร่ข่าวที่ กสทช. มีมติปลดโจทก์ และให้โจทก์หยุดปฏิบัติหน้าที่ผ่านทางสื่อหลายสำนักหลายช่องทาง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจากการนำเสนอข่าวดังกล่าว ทั้งชื่อเสียง รวมถึงเสียโอกาสในหน้าที่การงาน
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า สำหรับคดีนี้ (คดีหมายเลขดำที่ อท.155/2566) มีองค์คณะผู้พิพากษาชุดเดียวกับองค์คณะฯ ที่เคยพิพากษาในคดีหมายเลข ดำที่ อท.147/2566 ซึ่งเป็นคดีที่ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด (โจทก์) ฟ้อง ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. เป็นจำเลย ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย
คลิปประกอบข่าว :

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา